คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1195/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลมีคำสั่งไม่ให้โจทก์ถอนฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา175วรรคสองหมายความว่าให้ศาลพิจารณาถึงความสุจริตของโจทก์ในการดำเนินกระบวนพิจารณาประกอบด้วยหากปรากฎต่อศาลว่าการที่โจทก์ขออนุญาตถอนฟ้องอาจทำให้เสียเปรียบในการดำเนินคดีศาลไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องได้คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเนื่องจากศาลชั้นต้นสั่งงดชี้สองสถานและนัดฟังคำพิพากษาโดยโจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงว่าขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายโจทก์ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาว่าคำฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวอ้างถึงกรณีที่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้กระทำการไว้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีเห็นได้ชัดว่าโจทก์รู้ดูว่าจะต้องแพ้คดีพฤติการณ์ขอถอนฟ้องคดีของโจทก์จึงมิได้เป็นไปโดยสุจริตซึ่งทำให้จำเลยเสียเปรียบการที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจาก โจทก์ฟ้องให้จำเลยไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5936 เป็นชื่อโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนชี้สองสถาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เพราะขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่โจทก์อ้างสิทธิมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ไม่มีอำนาจทำนิติกรรมใด ๆ จึงไม่มีอำนาจแต่งตั้งหรือมอบหมายให้นายสมชัย เป็นตัวแทนทำสัญญากับจำเลย โจทก์แถลงรับว่า ศาลจังหวัดมีนบุรีได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดโจทก์ตามสำเนาคำสั่งท้ายคำร้องของจำเลยจริง แต่ศาลก็ได้มีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามสำเนาคำสั่งดังกล่าวแล้วศาลชั้นต้นจึงให้งดการชี้สองสถานและนัดฟังคำพิพากษา
ก่อนถึงวันนัดโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง และแถลงว่าหากจำเลยคืนเงินค่าซื้อที่ดินพิพาทจำนวน 9,500,000 บาท โจทก์จะไม่ฟ้องจำเลยใหม่ จำเลยแถลงว่า ที่โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องและแถลงจะถอนฟ้องอย่างมีเงื่อนไข จึงขอคัดค้าน
โจทก์ อุทธรณ์ คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “พิจารณาแล้ว เมื่อจำเลยคัดค้านคำร้องขอถอนฟ้อง จึงให้ยกคำร้อง” เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะศาลไม่ได้ใช้ดุลพินิจของศาลเพียงอาศัยคำแถลงคัดค้านของทนายจำเลยเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาพยานหลักฐานทั้งปวงของทั้งสองฝ่ายตามที่ปรากฎ รวมทั้งการคัดค้านของจำเลยประกอบการวินิจฉัยแล้วจึงเห็นว่า ไม่สมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องดังนั้น คำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้นชอบแล้ว และโจทก์ก็ไม่ได้ฎีกาคัดค้านถึงประเด็นดังกล่าว จึงเป็นอันยุติ คงเหลือปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลควรมีคำสั่งให้โจทก์ถอนฟ้องได้เพราะโจทก์ดำเนินคดีด้วยความสุจริต วัตถุประสงค์ของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไม่ขัดต่อกฎหมาย แต่โจทก์กระทำนิติกรรมดังกล่าวไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้โจทก์ถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 175 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ภายหลังจำเลยยื่นคำให้การแล้วโจทก์อาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่ออนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้ ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต หรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้” ซึ่งหมายความว่า ให้ศาลพิจารณาถึงความสุจริตของโจทก์ในการดำเนินกระบวนพิจารณาประกอบด้วย หากปรากฎต่อศาลว่าการที่โจทก์ขออนุญาตถอนฟ้องอาจทำให้จำเลยเสียเปรียบในการดำเนินคดีศาลไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องได้ คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเนื่องจากศาลชั้นต้นงดชี้สองสถานและนัดฟังคำพิพากษา โดยโจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงว่า ขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายโจทก์ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ต่อมาศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่าคำฟ้องโจทก์เป็นการกล่าวอ้างถึงกรณีที่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้กระทำการไว้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดี เห็นได้ชัดว่า โจทก์รู้ดีว่าจะต้องแพ้คดี พฤติการณ์ขอถอนฟ้องคดีของโจทก์จึงมิได้เป็นไปโดยสุจริต ซึ่งทำให้จำเลยเสียเปรียบ การที่ศาลอุทธรณ์ ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจึงชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share