คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกคืนการให้ที่พิพาทราคา350,000บาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนคืนการให้กึ่งหนึ่งเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินของโจทก์และยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ช.เป็นเจ้าของกึ่งหนึ่งจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องที่ดินกึ่งหนึ่งในส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นของโจทก์โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งในที่ดินส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าช. มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทกึ่งหนึ่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนที่ว่าช. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทกึ่งหนึ่งจึงเป็นอันยุติทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์คงมีเพียง175,000บาทตามที่จำเลยอุทธรณ์เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์จึงฎีกาได้เฉพาะที่พิพาทจำนวนกึ่งหนึ่งที่จำเลยอุทธรณ์และตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาจึงเป็นเพียง175,000บาทดังนั้นการที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์และช. ซื้อที่พิพาทมาจากบิดามารดาช. ที่พิพาทไม่ใช่สินส่วนตัวของช. หากฟังว่าช.ได้รับมรดกที่พิพาทมาจากบิดามารดาจริงช. ก็สละการครอบครองที่พิพาทจำนวนกึ่งหนึ่งให้โจทก์แล้วนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา248วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองประพฤติเนรคุณต่อโจทก์กับนายเชยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 53808และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 85 แก่โจทก์ และมอบที่ดินทั้งสองแปลงให้โจทก์เข้าครอบครองหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนคืนการให้โดยให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 53808 และเลขที่ 53823 ตำบลท่าโพอำเภอเมื่องพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก จำนวนกึ่งหนึ่งของเนื้อที่ที่ดินในแต่ละแปลงให้โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฟ้องเรียกคืนการให้ที่พิพาทราคา350,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนคืนการให้กึ่งหนึ่งเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินของโจทก์ และยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่นายเชยเป็นเจ้าของกึ่งหนึ่ง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องที่ดินกึ่งหนึ่งในส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นของโจทก์ โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งในที่ดินส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านายเชยมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทกึ่งหนึ่ง คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนที่ว่านายเชยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทกึ่งหนึ่งจึงเป็นอันยุติทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์คงมีเพียง 175,000 บาท ตามที่จำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ (ที่ถูกควรจะต้องพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องในส่วนที่พิพาทกึ่งหนึ่งที่จำเลยอุทธรณ์มาเสียด้วย) โจทก์จึงฎีกาได้เฉพาะที่พิพาทจำนวนกึ่งหนึ่งที่จำเลยอุทธรณ์และตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาจึงมีเพียง 175,000 บาทที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์และนายเชยซื้อที่พิพาทมาจากบิดามารดานายเชยที่พิพาทไม่ใช่สินส่วนตัวของนายเชย หากฟังว่านายเชยได้รับมรดกที่พิพาทมาจากบิดามารดาจริง นายเชยก็สละการครอบครองที่พิพาทจำนวนกึ่งหนึ่งให้โจทก์แล้ว เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นรับฎีกาโจทก์มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกา โจทก์

Share