คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลนัดสืบพยานจำเลยนัดแรกตั้งแต่วันที่15กรกฎาคม2536และได้มีการเลื่อนสืบพยานจำเลย5ครั้งในจำนวนนี้มีอยู่ครั้งเดียวที่ขอเลื่อนคดีเพราะเหตุที่โจทก์อ้างว่าไม่ได้เตรียมผู้รู้ภาษาจีนกลางมาควบคุมการแปลของล่ามฝ่ายจำเลยนอกจากนั้นที่จำเลยขอเลื่อนคดีมีสาเหตุมาจากฝ่ายจำเลยทั้งสิ้นโดยเฉพาะการเลื่อนคดีครั้งที่5ศาลได้กำชับว่านัดต่อไปให้จำเลยเตรียมพยานมาให้พร้อมแต่เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งที่6จำเลยขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่าพยานได้เดินทางมาในประเทศไทยแล้วแต่ได้รับโทรสารว่าที่บ้านของพยานที่ต่างประเทศมีเรื่องด่วนให้รีบกลับพยานจึงเดินทางกลับต่างประเทศการสืบพยานในคดีไม่ว่าจะมีการสืบปากเดียวหรือหลายปากและทุนทรัพย์ไม่ว่ามากหรือน้อยอยู่ที่ว่าคู่ความเอาใจใส่ที่จะสืบเพียงใดคดีนี้แม้จำเลยจะแถลงว่าสืบพยานปากเดียวแต่ขอเลื่อนคดีหลายครั้งเป็นเวลาหลายเดือนจนศาลต้องกำชับให้เตรียมพยานมาให้พร้อมแต่จำเลยก็ไม่สนใจและไม่เห็นความสำคัญในการดำเนินคดีให้เสร็จไปโดยรวดเร็วพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการประวิงคดีศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าไม่มีพยานมาสืบชอบแล้ว จำเลยให้การต่อสู้เรื่องฟ้องเคลือบคลุมเป็น2ตอนในตอนแรกอ้างว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดว่าจำเลยได้ชำระเงินต้นเท่าใดมีการชำระเงินกันอย่างไรนั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ผ่อนชำระให้โจทก์หลายครั้งแต่ไม่ตรงตามสัญญาและครั้งสุดท้ายชำระเมื่อวันที่27กันยายน2534พร้อมกับแนบรายละเอียดบัญชีเงินกู้ลูกหนี้มาท้ายฟ้องด้วยการบรรยายฟ้องเช่นนี้และมีเอกสารแนบมาท้ายฟ้องประกอบด้วยรายการชำระหนี้และยอดค้างชำระนับว่าเป็นการแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้วและในตอนที่สองจำเลยอ้างว่าโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าบริษัทท. ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อใดและแจ้งว่าจำเลยได้ปฏิบัติผิดสัญญาอย่างไรโจทก์รับผิดชอบตามหนังสือค้ำประกันอย่างไรนั้นข้ออ้างดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับคู่สัญญาที่จำเลยต้องรับผิดสำหรับโจทก์เพียงแต่เป็นผู้ออกหนังสือค้ำประกันต่อคู่สัญญาของจำเลยตามที่จำเลยขอและโจทก์ใช้เงินให้ไปเช่นนี้ความสัมพันธ์ตลอดจนการผิดสัญญาของจำเลยกับคู่สัญญาโจทก์ไม่จำต้องบรรยายในคำฟ้องเพียงแต่บรรยายให้เห็นถึงความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์นับว่าเป็นการชัดแจ้งเพียงพอที่จำเลยจะต้องเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม สัญญากู้ได้กระทำกันเมื่อวันที่23มกราคม2533กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์48งวดงวดละเดือนจำเลยไม่ได้ผ่อนชำระตามกำหนดในสัญญาซึ่งถือว่าจำเลยผิดนัดแต่หลังจากนั้นเมื่อจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์บ้างบางส่วนโจทก์ได้ชำระหนี้ทุกครั้งที่จำเลยชำระต่อมาวันที่30มีนาคม2535โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและกำหนดให้จำเลยชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน15วันแต่จำเลยไม่ชำระดังนี้การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาถือว่าจำเลยผิดสัญญาโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามที่คู่สัญญาได้กำหนดไว้แต่ที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้ภายหลังที่จำเลยผิดสัญญาแล้วจะถือว่าโจทก์ไม่ถือเอาเงื่อนเวลาในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญหรือสละเงื่อนเวลานั้นจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าเป็นอย่างที่จำเลยอ้างทั้งตามข้อตกลงในสัญญาเงินกู้ก็ระบุว่าการไม่ดำเนินการหรือความล่าช้าในการดำเนินการใช้สิทธิของผู้ให้กู้คือโจทก์มิได้แสดงว่าโจทก์สละสิทธิตามที่ระบุไว้ในสัญญาจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ถือเงื่อนเวลาในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญและสละเงื่อนเวลาอันจะถือว่าจำเลยไม่ผิดสัญญาเมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินกู้คืนได้ ที่จำเลยฎีกาว่าการค้ำประกันและการขยายระยะเวลาค้ำประกันรายนี้มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือใช้บังคับไม่ได้นั้นจำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ทั้งยังรับว่าได้มีการค้ำประกันจริงแต่โต้แย้งว่ามิได้ขยายระยะเวลาค้ำประกันเท่านั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิจะโต้แย้งในชั้นฎีกาว่าการค้ำประกันมิได้ทำเป็นหนังสือ จำเลยขอให้โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันให้โดยจำเลยรับรองว่าเมื่อโจทก์ได้รับแจ้งว่าจำเลยผิดนัดจำเลยยอมให้โจทก์ชำระเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบดังนั้นเมื่อโจทก์ชำระหนี้ให้แก่บริษัทท. แทนจำเลยไปแล้วแม้จะไม่ได้บอกให้จำเลยทราบก่อนโจทก์ก็มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2533 จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน 15,000,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่โจทก์คิดกับลูกค้าชั้นดีของโจทก์สำหรับการให้กู้ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาการชำระคืนไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องแจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้า ขณะทำสัญญากู้เงินคืออัตราร้อยละ 13 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยเดือนละครั้งและผ่อนชำระต้นเงินคืนเป็นงวด งวดละเดือนรวม 48 งวด เริ่มผ่อนชำระงวดแรกในเดือนที่ 7 นับจากเดือนมกราคม 2533หากจำเลยผิดนัด ยอมให้โจทก์เรียกคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยได้ทันทีและยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บได้ซึ่งขณะทำสัญญากู้เงินคืออัตราร้อยละ 15 ต่อปี และหากจำเลยผิดนัดค้างชำระดอกเบี้ยในเดือนใดไม่น้อยกว่า 1 ปี ยอมให้โจทก์นำเอาดอกเบี้ยส่วนที่ค้างชำระเกินกว่า 1 ปี ทบเข้ากับต้นเงินและให้กลายเป็นเงินซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยต่อไป จำเลยได้รับเงินที่กู้ไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญา และเมื่อวันที่ 2 มกราคม2533 จำเลยขอให้โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยไว้ต่อบริษัท ไทยฟาร์มเมอร์ไฟแน้นส์ แอนด์ดินเวสท์เมนต์ จำกัดเพื่อเป็นประกันในการที่จำเลยได้กู้เงินจากบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไฟแน้นส์แอนด์เวสท์เมนต์ จำกัด มีกำหนดเวลา 1 ปีในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 ดอลลาร์ฮ่องกง โดยจำเลยยอมให้โจทก์ชำระเงินตามความผูกพันในหนังสือค้ำประกันทันทีที่โจทก์ได้รับแจ้งจากบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไฟแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัดว่าจำเลยได้ผิดสัญญา และยอมชดใช้เงินคืนแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ได้จ่ายเงินไปจนกว่าจะชำระเงินคืนแก่โจทก์ ด้วยคำขอของจำเลยดังกล่าว โจทก์ได้ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยไว้ต่อบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไพแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์จำกัด ในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาท ดอลล่าร์ฮ่องกงหนังสือค้ำประกันมีผลผูกพันใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2533ถึงวันที่ 17 มกราคม 2534 ต่อมาโจทก์ได้ขยายระยะเวลาค้ำประกันจำเลยออกไปถึงวันที่ 17 มกราคม 2535 ตามคำขอของจำเลยหลังจากนั้นจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์หลายครั้งแต่ไม่ตรงตามเวลาที่ตกลงไว้ในสัญญา ซึ่งโจทก์ถือว่าจำเลยผิดนัดแล้ว โดยจำเลยได้ชำระให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 27กันยายน 2534 เป็นเงิน 300,000 บาท และบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไพแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัด ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยผิดสัญญา และให้โจทก์รับผิดชำระหนี้แทนจำเลยตามภาระในหนังสือค้ำประกันเป็นเงิน 10,000,000 ดอลลาร์ฮ่องกง โจทก์จึงชำระหนี้ให้แก่บริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไพแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์จำกัด ไปเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2535 เป็นเงิน 10,000,000 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งคิดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยในขณะนั้นเป็นเงิน1 ดอลลาร์ฮ่องกง ต่อ 3.44 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 34,400,000 บาทโจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้และหนี้ตามหนังสือค้ำประกันแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยคิดถึงวันฟ้องจำเลยคงค้างชำระหนี้เงินกู้ในต้นเงิน 14,472,453.62 บาท ดอกเบี้ย2,352,845.25 บาท และหนี้ตามหนังสือค้ำประกันต้นเงิน 34,400,000 บาทดอกเบี้ย 1,032,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้จำนวน16,825,298.87 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 14,472,453.62 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันจำนวน 35,432,000บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน34,400,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญากู้เงิน จำเลยได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยมาตลอด แม้การชำระจะไม่ตรงตามเวลาที่ระบุไว้ในสัญญากู้เงิน แต่โจทก์ยอมรับการชำระหนี้ของจำเลยโดยมิได้คัดค้านหรือโต้แย้งว่าจำเลยชำระหนี้ผิดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาถือได้ว่าโจทก์และจำเลยได้สละเงื่อนเวลาในการชำระหนี้ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ จึงยังไม่มีสิทธิที่จะนำสัญญากู้เงินมาฟ้องบังคับจำเลย อัตราดอกเบี้ยที่โจทก์บรรยายฟ้องนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมายโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น ดอกเบี้ยทั้งหมดตกเป็นโมฆะยอดเงินต้นและดอกเบี้ยค้างชำระตามฟ้องจึงไม่ถูกต้อง จำเลยไม่ได้ขอให้โจทก์ขยายระยะเวลาค้ำประกันจำเลยออกไปถึงวันที่ 17 มกราคม 2535โจทก์ได้หลอกลวงจำเลยให้ลงลายมือชื่อในเอกสารคำขอให้ออกหนังสือค้ำประกัน โดยที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ แล้วโจทก์นำเอกสารดังกล่าวมากรอกข้อความในภายหลังโดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลย เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่ได้เป็นหนี้บริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไพแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัด โจทก์ไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่บริษัทดังกล่าวแทนจำเลย ระยะเวลาการค้าประกันตามหนังสือค้ำประกันมีกำหนดเวลาสิ้นสุดภายในวันที่ 17 มกราคม 2535 แต่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องว่า โจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่บริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไพแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัด แทนจำเลยในวันที่ 2 มีนาคม 2535 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากความรับผิดชอบของโจทก์ได้สิ้นสุดลงแล้วแม้โจทก์จะได้ชำระหนี้ให้แก่บริษัทดังกล่าวก็เป็นการชำระหนี้โดยพลการของโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้แจ้งชัดว่า ตั้งแต่โจทก์ให้จำเลยกู้เงินไปจนกระทั่งถึงวันฟ้องจำเลยได้ชำระต้นเงินให้แก่โจทก์ไปแล้วจำเลยเท่าใดมีการชำระเงินกันอย่างไร โจทก์ต้องรับผิดชอบตามหนังสือค้ำประกัน ซึ่งทำไว้ต่อบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สพฟแน้นส์แอนด์อิสเวสท์เมนต์ จำกัด อย่างไร และมีเงื่อนไขความรับผิดในหนังสือค้ำประกันอย่างไร ถือว่าการบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นการปกปิดข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของคดีจนจำเลยไม่อาจที่จะต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 52,257,298.87 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 48,872,453.62บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 23มกราคม 2533 จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ 15,000,000 บาทและในวันที่ 2 มกราคม 2533 จำเลยขอให้โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยต่อบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไพแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัดโจทก์จึงได้ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยไว้ต่อบริษัทดังกล่าวตามที่จำเลยขอ
ที่จำเลยฎีกาว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 9 มีนาคม 2537 ที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบไม่ชอบนั้น ข้อเท็จจริงปรากฎในสำนวนว่าศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก วันที่ 15 กรกฎาคม 2536 ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างเหตุป่วย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อน ครั้นถึงวันนัดต่อมาคือวันที่ 6 สิงหาคม 2536 ทนายจำเลยแถลงว่าติดใจสืบนายผิน เว้ย เพียงปากเดียว แต่พยานปากนี้อยู่ต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาประเทศไทยในช่วงปลายเดือนตุลาคม จึงขอเลื่อนนัดสืบพยานจำเลยอีก ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 20 ตุลาคม และวันที่ 1 พฤศจิกายน 2536 ตามลำดับ ครั้งถึงวันนัดหมายจำเลยขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างว่าพยานป่วย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยตามวันนัดเดิม เมื่อถึงวันนัดคือวันที่ 1 พฤศจิกายน2536 ทนายจำเลยแถลงว่าพยานขอเบิกความเป็นภาษาจีนกลาง มีนายซอ ตั้งตระกูล เป็นล่าม ทนายโจทก์แถลงว่าเข้าใจว่าพยานปากนี้จะเบิกความเป็นภาษาไทยจึงไม่ได้เตรียมคนมีความรู้ภาษาจีนกลางมาคุมควบการแปล ขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยวันที่ 28 และวันที่ 29 ธันวาคม 2536 ตามลำดับถึงวันนัดที่28 ธันวาคม 2536 ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่าพยานติดธุระสำคัญไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทย และขอยกเลิกวันนัดที่ 19 ธันวาคม2536 เสียด้วย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยวันที่ 9และวันที่ 10 มีนาคม 2537 ตามลำดับ และกำชับให้ทนายจำเลยเตรียมพยานมาให้พร้อม ศาลอาจไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะเหตุพยานไม่มาศาลอีกถึงวันนัดที่ 9 มีนาคม 2537 ทนายจำเลยให้เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่นต่อศาลอ้างว่าพยานเดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 5 มีนาคม2537 แต่มีโทรสารจากมารดาแจ้งว่าที่บ้านมีเรื่องด่วนให้รีบเดินทางกลับเซี่ยงไฮ้ พยานจึงเดินทางออกจากประเทศไทย ไม่สามารถเบิกความเป็นพยานในวันนัดดังกล่าวได้และขอเลื่อนคดีในวันรุ่งขึ้นที่นัดไว้ด้วย ศาลชั้นต้นจึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ เห็นว่า ศาลนัดสืบพยานจำเลยนัดแรกตั้งแต่วันที่ 15กรกฎาคม 2536 และได้มีการเลื่อนสืบพยานจำเลย 5 ครั้ง ในจำนวนนี้มีอยู่ครั้งเดียวที่ขอเลื่อนคดีเพราะเหตุที่โจทก์อ้างว่าไม่ได้เตรียมผู้รู้ภาษาจีนกลางมาควบคุมการแปลของล่ามฝ่ายจำเลย นอกจากนั้นที่จำเลยขอเลื่อนคดีมีสาเหตุมาจากฝ่ายจำเลยทั้งสิ้น โดยเฉพาะการเลื่อนคดีครั้งที่ 5 ศาลได้กำชับว่านัดต่อไปให้จำเลยเตรียมพยานมาให้พร้อม แต่เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งที่ 6 คือวันที่ 9 มีนาคม2537 จำเลยขอเลื่อนคดีอีก อ้างว่าพยานได้เดินทางมาในประเทศไทยแล้วแต่ได้รับโทรสารว่าที่บ้านของพยานที่ต่างประเทศมีเรื่องด่วนให้รีบกลับ พยานจึงเดินทางกลับต่างประเทศ การสืบพยานในคดีไม่ว่าจะมีการสืบปากเดียวหรือหลายปาก และทุนทรัพย์ไม่ว่ามากหรือน้อยอยู่ที่ว่าคู่ความเอาใจใส่ที่จะสืบเพียงใด คดีนี้แม้จำเลยจะแถลงว่าสืบพยานปากเดียว แต่ขอเลื่อนคดีหลายครั้งเป็นเวลาหลายเดือน จนศาลต้องกำชับให้เตรียมพยานมาให้พร้อมแต่จำเลยก็ไม่สนใจและไม่เห็นความสำคัญในการดำเนินคดีให้เสร็จไปโดยรวดเร็วพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการประวิงคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าไม่มีพยานมาสืบชอบแล้ว
ฎีกาจำเลยที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยให้การต่อสู้เรื่องฟ้องเคลือบคลุมเป็น 2 ตอน ในตอนแรกอ้างว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดว่าจำเลยได้ชำระเงินต้นเท่าใด มีการชำระเงินกันอย่างไรเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ผ่อนชำระให้โจทก์หลายครั้งแต่ไม่ตรงตามสัญญา และครั้งสุดท้ายชำระเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2534พร้อมกับแนบรายละเอียดบัญชีเงินกู้ลูกหนี้มาท้ายฟ้องด้วย การบรรยายฟ้องเช่นนี้และมีเอกสารแนบมาท้ายฟ้องประกอบด้วยรายการชำระหนี้และยอดค้างชำระ นับว่าเป็นการแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้วและในตอนที่สองจำเลยอ้างว่าโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไฟแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัด ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อใด และแจ้งว่าจำเลยได้ปฏิบัติผิดสัญญาอย่างไร โจทก์รับผิดชอบตามหนังสือค้ำประกันอย่างไรนั้น เห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับคู่สัญญาที่จำเลยต้องรับผิด สำหรับโจทก์เพียงแต่เป็นผู้ออกหนังสือค้ำประกันต่อคู่สัญญาของจำเลยตามที่จำเลยขอและโจทก์ใช้เงินให้ไปเช่นนี้ ความสัมพันธ์ตลอดจนการผิดสัญญาของจำเลยกับคู่สัญญา โจทก์ไม่จำต้องบรรยายในคำฟ้อง เพียงแต่บรรยายให้เห็นถึงความรับผิดของจำเลยต่อโจทก์นับว่าเป็นการชัดแจ้งเพียงพอที่จำเลยจะต้องเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ฎีกาจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่ถือเอาเงื่อนเวลาในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญและสละเงื่อนเวลาอันจะถือได้ว่าจำเลยมิได้ผิดสัญญาหรือไม่ปรากฎว่าสัญญากู้ได้กระทำกันเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2533กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ 48 งวด งวดละเดือนจำเลยไม่ได้ผ่อนชำระตามกำหนดในสัญญาซึ่งถือว่าจำเลยผิดนัด แต่หลังจากนั้นเมื่อจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์บ้างบางส่วนโจทก์ได้รับชำระหนี้ทุกครั้งที่จำเลยชำระ ต่อมาวันที่ 30 มีนาคม 2535 โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและกำหนดให้จำเลยชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน แต่จำเลยไม่ชำระเห็นว่า การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาได้กำหนดไว้แต่ที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้ภายหลังที่จำเลยผิดสัญญาแล้ว จะถือว่าโจทก์ไม่ถือเอาเงื่อนเวลาในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญหรือสละเงื่อนเวลานั้น จำเลยไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าเป็นอย่างที่จำเลยอ้าง ทั้งเมื่อพิจารณาตามข้อตกลงในสัญญาเงินกู้เอกสารหมายจ.1 ข้อ 17 กำหนดว่าการไม่ดำเนินการหรือความล่าช้าในการดำเนินการใช้สิทธิของผู้ให้กู้คือโจทก์มิได้แสดงว่าโจทก์สละสิทธิตามที่ระบุไว้ในสัญญา จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ถือเงื่อนเวลาในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญและสละเงื่อนเวลาอันจะถือว่าจำเลยไม่ผิดสัญญาเมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินกู้คืนได้
ฎีกาประเด็นข้อพิพาทประการสุดท้ายมีว่า โจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลยหรือไม่ โจทก์มีนางน้ำผึ้ง วงศ์สมิทธิ์ และนางสาวน้ำทิพย์ พนายางกูร เบิกความว่าบริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไพแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัด แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยผิดสัญญาแบะขอรับเงินตามสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.11 โจทก์ได้จัดการโอนเงินให้บริษัทดังกล่าวพร้อมกับแจ้งเรื่องการโอนตามเอกสารหมาย จ.12 และ จ.13 และโจทก์ได้รับแจ้งว่าบริษัทรับโอนได้รับเงินแล้วตามเอกสารหมาย จ.14 พยานโจทก์ดังกล่าวต่างเบิกความสอดคล้องกัน ทั้งยังเป็นพนักงานของโจทก์ทำหน้าที่เกี่ยวกับการโอนเงินรายนี้ให้บริษัทไทยฟาร์มเมอร์ไฟแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัด แม้เอกสาร จ.11 ถึง จ.14 จะเป็นโทรสารที่ไม่มีลายมือชื่อของโจทก์หรือของบริษัทที่โจทก์จะต้องรับผิด แต่มีผู้เกี่ยวข้องมาเบิกความรับรอง พยานหลักฐานของโจทก์จึงน่าเชื่อถือฝ่ายจำเลยคัดค้านพยานโจทก์ดังกล่าว แต่ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบโต้แย้งให้เป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ชำระหนี้แทนจำเลยให้แก่บริษัทไทยฟาร์มเมอร์สไพแน้นส์แอนด์อินเวสท์เมนต์ จำกัดจริง การชำระหนี้แทนดังกล่าว แม้โจทก์จะมิได้แจ้งให้จำเลยทราบก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิด เพราะจำเลยขอให้โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันให้โดยจำเลยรับรองว่าเมื่อโจทก์ได้รับแจ้งว่าจำเลยผิดนัดจำเลยยอมให้โจทก์ชำระเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบฉะนั้นเมื่อโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปแล้ว แม้จะไม่ได้บอกให้จำเลยทราบก่อน โจทก์ก็มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลย
พิพากษายืน

Share