คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 959/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถยนต์เก๋งโดยประมาทเลินเล่อข้ามทางรถไฟในขณะที่มีรถไฟแล่นผ่านจึงถูกรถไฟเฉี่ยวชนด้านหน้ารถยนต์เก๋งเสียหายเล็กน้อยแต่เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งนั่งห้อยเท้าอยู่ริมประตูตู้รถไฟถูกรถยนต์เก๋งของจำเลยชนได้รับอันตรายสาหัสถึงกับขาหักทั้งสองข้างดังนี้แม้ในขณะเกิดเหตุขบวนรถไฟดังกล่าวจะมีผู้โดยสารแน่นจนไม่มีที่นั่งโจทก์กับผู้โดยสารหลายคนจึงต้องนั่งตรงริมประตูขึ้นลงของตู้ขนสัมภาระก็ตามก็ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วยจึงควรลดค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาลงบ้างแต่ข้อเท็จจริงยังไม่ถึงกับจะรับฟังได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยซึ่งจะทำให้เสียค่าเสียหายเป็นพับดังที่จำเลยฎีกาไม่

ย่อยาว

เดิมคดีนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้ากับคดีหมายเลขแดงที่ 14827/2536 ของศาลชั้นต้น จำเลยคดีนี้กับจำเลยในคดีดังกล่าวเป็นบุคคลเดียวกัน จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในคดีดังกล่าว เพราะจำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000บาท ต้องห้ามฎีกาคดีจึงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน ก-0207นครนายกฝ่าเครื่องปิดกั้นและสัญญาณไฟแล่นเลยเข้าไปในทางของรถไฟด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์เก๋งของจำเลยเฉี่ยวชนรถไฟ ทำให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสขาหักทั้งสองข้างขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 265,917.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 247,365 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ขับรถยนต์ฝ่าเครื่องปิดกั้นทางรถไฟ แต่รถยนต์ของจำเลยเครื่องยนต์ดับสตาร์ทไม่ติด อันเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะพารถยนต์ไปให้พ้นทางรถไฟ รถไฟจึงชนรถยนต์จำเลย เป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่นั่งในตู้โดยสาร แต่กลับไปนั่งห้อยขาตรงช่องประตูตู้สินค้า เมื่อรถไฟเฉี่ยวชนรถยนต์จำเลยไปไกลประมาณ 50 เมตร แล้วจึงเบรกหยุด เป็นเหตุให้โจทก์ตกจากรถไฟได้รับบาดเจ็บขาหักทั้งสองข้างซึ่งเกิดจากความประมาทของโจทก์เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 203,951 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17พฤศจิกายน 2532 จนถึงวันชำระเสร็จ
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน196,951 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันและไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า จำเลยขับรถยนต์เก๋งโดยประมาทเลินเล่อคือจะข้ามทางรถไฟในขณะที่มีรถไฟแล่นผ่าน และถูกรถไฟเฉี่ยวชนด้านหน้ารถยนต์เก๋งเสียหายเล็กน้อย แต่เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งนั่งห้อยเท้าอยู่ริมประตูตู้รถไฟถูกรถยนต์เก๋งของจำเลยชนได้รับอันตรายสาหัสถึงกับขาหักทั้งสองข้าง ในข้อที่โจทก์นั่งห้อยเท้านี้ได้ความจากคำเบิกความของ นางสาวธนาวดี เฟื่องวุฒิราญ นายสาคร สุขชาวนาพนักงานขับรถไฟขบวนที่เกิดเหตุพยานโจทก์และโจทก์โดยจำเลยมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นว่า มีผู้โดยสารแน่นจนไม่มีที่นั่ง โจทก์กับผู้โดยสารหลายคนจึงต้องนั่งตรงริมประตูขึ้นลงของตู้ขนสัมภาระซึ่งเป็นช่องว่างโดยไม่มีบานประตูและบันได พื้นตู้รถไฟตรงที่นั่งระดับสูงจากพื้นดินประมาณ 80 เซนติเมตร ขบวนรถไฟด้านนี้เฉี่ยวชนกับหน้ารถยนต์เก๋งของจำเลยและหน้ารถยนต์เก๋งของจำเลยชนกระแทกถูกหน้าแข้งของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ขาหักทั้งสองข้าง จนได้รับอันตรายสาหัสดังกล่าว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีส่วนประกอบมีส่วนประมาทด้วย จึงลดค่าเสียหายลง โดยค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานของโจทก์ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเนื่องจากขาทั้งสองหักพิการซึ่งโจทก์เรียกร้องเป็นเงิน 100,000 บาท และศาลชั้นต้นกำหนดให้เป็นเงิน 80,000 บาท นั้นศาลอุทธรณ์เห็นควรลดลงเหลือ 73,000 บาท ส่วนค่าเสียหายรายการอื่น ๆ จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจที่เป็นคุณแก่จำเลยตามสมควรแล้ว ข้อเท็จจริงยังไม่ถึงกับจะรับฟังได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยซึ่งจะให้ค่าเสียหายเป็นพับ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share