แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในชั้นบังคับคดีที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่1เพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์โจทก์กับจำเลยตกลงจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแต่ก็ยังไม่อาจตกลงกันในรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องคดีอาญาโดยอ้างว่าโจทก์กับจำเลยตกลงกันได้แล้วในสาระสำคัญศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวได้แต่ต่อมาไม่ปรากฎว่าโจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเพื่อระงับข้อพิพาทในคดีนี้ฉะนั้นหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้จึงยังไม่ระงับทั้งปรากฎว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้ในคดีนี้ครบถ้วนตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา271 หากมีการประนีประนอมยอมความกันนอกศาลจริงก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะยกขึ้นว่ากล่าวแก่โจทก์เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากไม่เป็นเหตุที่จำเลยจะยกอ้างเพื่อให้ศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดีนี้ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งห้าร่วมกันทำหนังสือรับใช้หนี้แทนนายปัญญา อับดุลอารีย์ ซึ่งกู้ยืมเงินไปจากโจทก์ คดีถึงที่สุดโดยศาลาพิพากษาให้บังคับคดีคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 31,250 บาทแต่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์โจทก์ขอให้บังคับคดี
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 1 และอยู่ในระหว่างการขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์แต่โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวกได้ฟ้องซึ่งกันและกันเป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ตกลงประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาททั้งปวงในคดีอาญาและคดีแพ่งและตกลงไม่ถือเอาผลของคำพิพากษาในคดีนี้โดยจำเลยที่ 1 และที่ 3 จะชำระเงิน 300,000 บาท ให้แก่โจทก์ การที่โจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาจึงฝ่าฝืนต่อสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ขอให้เพิกถอนการบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทในคดีนี้ ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีอาญาซึ่งศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ 1และที่ 3 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้บังคับคดีได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 3
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาขอให้ถอนการบังคับคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3ตกลงจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน แต่ก็ยังไม่อาจตกลงกันในรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ ซึ่งปรากฏตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น เอกสารหมายล.1 ถึง ล.3 ต่อมาวันที่ 27 มีนาคม 2538 โจทก์ขอถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 301/2536 ของศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตกลงกันได้แล้วในสาระสำคัญ ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวได้ ปรากฎตามสำเนาสำเนาคำร้องและสำเนารายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น เอกสารหมาย ล.4 และ ล.5 แต่ต่อมาไม่ปรากฎว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเพื่อระงับข้อพิพาทในคดีนี้ ฉะนั้น หนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้จึงยังไม่ระงับทั้งปรากฎว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังไม่ได้ชำระหนี้ในคดีนี้ครบถ้วนตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 371 ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 อ้างมาในฎีกาว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันนอกศาล นั้น เห็นว่า หากมีการประนีประนอมยอมความกันนอกศาลจริง ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะยกขึ้นว่ากล่าวแก่โจทก์เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ไม่เป็นเหตุที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดีได้พิพากษายืน