คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 116/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ไม่เคยซื้อที่ดินจาก ก. จำเลยได้ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ ทั้งได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยตั้งแต่จำเลยได้ซื้อมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิออกโฉนดที่ดินรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย โจทก์ไม่เคยครอบครองหรือทำประโยชน์ โจทก์ทราบมานานหลายปีแล้วว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ แต่มิได้ฟ้องภายใน 1 ปี จึงหมดสิทธิฟ้องร้องตามป.พ.พ. มาตรา 1374 มาตรา 1375 และมาตราอื่นๆ ในลักษณะ 3 ครอบครอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวจำเลยมิได้อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิตามป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเรื่องการแย่งการครอบครองเป็นประเด็นข้อพิพาทด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวมา จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
จำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ที่ดินหรือเป็นเจ้าของที่ดิน มีอาณาเขตทั้งสี่ทิศจดที่ดินอะไรหรือของใคร และไม่ได้บรรยายฟ้องว่าที่ดินโจทก์ทั้งสี่ทิศมีความกว้างยาวเท่าไร จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 172 นั้น เป็นเรื่องนอกเหนือจากเหตุผลที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตามที่จำเลยได้ให้การไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนหลักไม้พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 85 ตำบลคลองท่อมใต้ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ แล้วห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีก
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนหลักไม้ รั้วและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์เนื้อที่ 3 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 85 ตำบลคลองท่อมใต้ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ และห้ามจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีก กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองโจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง เป็นการไม่ชอบ เพราะว่าคำให้การของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี จึงหมดสิทธิฟ้อง เป็นคำให้การต่อสู้คำฟ้องโจทก์เป็นสองประเด็นว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท กับโจทก์ไม่ฟ้องเอาคืนการแย่งการครอบครองของจำเลยภายในกำหนด 1 ปี จำเลยมิได้ให้การให้แจ้งชัดว่าจะต่อสู้โจทก์ด้วยประเด็นใด เป็นคำให้การที่ขัดกันเองจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เท่ากับไม่ได้ต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองประเด็นนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 85 ตำบลคลองท่อมใต้ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 64 ตารางวา ซึ่งโจทก์ซื้อมาจากนางสาวกอร์ปกุล และได้จดทะเบียนซื้อขายกันที่ที่ว่าอำเภอคลองท่อม เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2535 โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์โดยการถมที่ดินทั้งแปลง ไม่มีผู้ใดหรือจำเลยเข้ามารบกวนการครอบครองหรือโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2536 โจทก์ได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน วันที่ 4 ตุลาคม 2536 จำเลยยื่นคำคัดค้าน โดยอ้างว่าโจทก์นำรังวัดทับที่ดินของจำเลย เนื้อที่ประมาณ 3 ตารางวา จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ไม่เคยซื้อที่ดินจากนางสาวกอร์ปกุล จำเลยได้ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ ทั้งได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยตั้งแต่จำเลยได้ซื้อมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิออกโฉนดที่ดินรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย โจทก์ไม่เคยครอบครองหรือทำประโยชน์ โจทก์ทราบมานานหลายปีแล้วว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ แต่มิได้ฟ้องภายใน 1 ปี จึงหมดสิทธิฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 มาตรา 1375 และมาตราอื่นๆ ในลักษณะ 3 ครอบครอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวจำเลยมิได้อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเรื่องการแย่งการครอบครองเป็นประเด็นข้อพิพาทด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวมา จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น…
ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ที่ดินหรือเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 85 มีอาณาเขตทั้งสี่ทิศจดที่ดินอะไรหรือของใคร และไม่ได้บรรยายฟ้องว่าที่ดินโจทก์ทั้งสี่ทิศมีความกว้างยาวเท่าไร จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 นั้น เป็นเรื่องนอกเหนือจากเหตุผลที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตามที่จำเลยได้ให้การไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share