คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46ที่บัญญัติว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญานั้นหมายถึงข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและศาลต้องฟังยุติมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วไม่ใช่ประเด็นปลีกย่อยเมื่อคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่2ได้บุกรุกเข้าไปปลูกสร้างเรือนในที่พิพาทคดีแพ่งคดีนี้ศาลขึงต้องถือข้อเท็จจริงตามได้เพียงว่าจำเลยที่2ได้บุกรุกที่ดินพิพาทจริงส่วนที่พิพาทที่จำเลยที่2บุกรุกเนื้อที่เท่าไรเป็นไปตามคำพิพากษาคดีอาญาหรือตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องคดีนี้เป็นข้อปลีกย่อยรายละเอียดที่จะต้องนำสืบกันอีกในชั้นพิจารณาซึ่งโจทก์โจทก์ร่วมและจำเลยที่2จะต้องสืบพยานในประเด็นนี้กันต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนและขนย้ายเพิงพักอาศัยกับสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ตลอดจนเสาคอนกรีตไปจากที่ดินพิพาทและทำสภาพที่ดินให้คืนสู่สภาพเดิมให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย 50,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ4,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างข้างต้นและออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1จำเลยทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยใช้ทำนามาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยทั้งสอง โจทก์เสียหายไม่เกินเดือนละ200 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ให้จำหน่ายคดีจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
ระหว่างพิจารณานายช่อเพียว เตโชฬาร และนางคนึงนิจ เตโชฬารขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมโดยอ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีส่วนอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาบุกรุกและโจทก์ในฐานะผู้เสียหายได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1027/2534ของศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีส่วนอาญาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว คดีพอวินิจฉัยได้โดยถือข้อเท็จจริงตามคดีส่วนอาญาโจทก์และโจทก์ร่วมแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนและขนย้ายเพิงพักอาศัยกับสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ รวมทั้งเสาคอนกรีตออกไปจากที่ดินพิพาทตามแผนที่วิวาทรังวัดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2537 และทำสภาพที่ดินให้คืนสู่สภาพเดิม ให้จำเลยที่ 2 และบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยที่ 2 ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ และ โจทก์ร่วม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมมีว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยที่ 2 ต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46ที่บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญานั้น หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและศาลต้องฟังยุติมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่ประเด็นปลีกย่อย สำหรับคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาแดงที่ 975/2537 ซึ่งศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไปปลูกสร้างเรือนในที่ดินพิพาท สำหรับคดีแพ่งคดีนี้ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามได้เพียงว่าจำเลยที่ 2 ได้บุกรุกที่ดินพิพาทจริง ส่วนที่ว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 2 บุกรุกเนื้อที่เท่าไร เป็นไปตามคำพิพากษาคดีอาญาหรือตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องคดีนี้เป็นข้อปลีกย่อย รายละเอียดที่จะต้องนำสืบกันอีกในชั้นพิจารณา ซึ่งโจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยที่ 2 จะต้องสืบพยานในประเด็นนี้กันต่อไปอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share