คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องโจทก์นอกจากจะกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิในการทำเหมืองแร่โดยรับโอนสิทธิตามประทานบัตรแล้วยังได้กล่าวอ้างมาด้วยว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อหรือรับโอนมาจากเจ้าของที่ดินเดิมอีกด้วยดังนี้สิทธิตามประทานบัตรซึ่งเป็นสิทธิในการทำเหมืองแร่นั้นเป็นสิทธิที่จะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510อันแตกต่างกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงเป็นสิทธิคนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้หาใช่ว่าหากผู้ใดมีสิทธิตามประทานบัตรแล้วจะไม่อาจมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามประทานบัตรนั้นได้เลยมิฉะนั้นจะมีผลเป็นว่าผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงใดโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แต่เดิมแล้วหากต่อมาได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ในที่ดินแปลงดังกล่าวจะทำให้สิทธิครอบครองซึ่งมีอยู่เดิมก่อนแล้วต้องหมดสิ้นไปด้วย ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิครอบครองได้โอนการครอบครองติดต่อกันมาจนถึงโจทก์ซึ่งรับโอนทั้งสิทธิครอบครองตามประทานบัตรจากบริษัทช. และโจทก์ได้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1367แม้ประทานบัตรของโจทก์หมดอายุแล้วก็หามีผลทำให้โจทก์สิ้นสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสิทธิคนละส่วนกันแต่อย่างใดไม่การที่จำเลยและบริวารบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินพิพาทจึงเป็นการรบกวนการครอบครองอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากที่ดินพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลบางนอนอำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง โดยโจทก์ซื้อกรรมสิทธิ์และสิทธิประโยชน์ทั้งหมดจากบริษัทไซมีสทินซินดิเกต จำกัด และผู้มีชื่อหลายคนโดยเสียค่าตอบแทนและได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ดำเนินกิจการเหมืองแร่ต่อจากบริษัทไซมีสทินซินตินดิเกต จำกัดโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวทั้งหมดตั้งแต่ปี 2514 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันอย่างต่อเนื่องนอกจากโจทก์จะได้สำรวจแร่และดำเนินกิจการเหมืองแร่ตามประทานบัตรในที่ดินดังกล่าวแล้ว โจทก์ยังได้ทำประโยชน์ในที่ดินที่โจทก์ครอบครองโดยทำสวนเกษตร เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2537จำเลยบุกรุกเข้าไปที่ดินบางส่วนของโจทก์เพื่อปลูกสร้างบ้าน 1 หลังและโครงบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างอีกหนึ่งหลังอันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ โจทก์เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและบ้านดังกล่าวทั้งหมดออกจากที่ดินของโจทก์แล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว พร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลย ขาดนัด ยื่นคำให้การ และ ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทด้วย โดยโจทก์ซื้อสิทธิครอบครองและสิทธิประโยชน์ทั้งหมดกล่าวคือ สิทธิในกิจการเหมืองแร่และสิทธิในการครอบครองที่ดินจากบริษัทไซมีสทินซินดิเกต จำกัด และผู้มีชื่อคนอื่น ๆโจทก์จึงมีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวทั้งหมดทั้งโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์เพื่อตนเองมาโดยตลอดโดยได้สำรวจแร่และดำเนินกิจการเหมืองแร่ตามประทานบัตร และโจทก์ได้ทำสวนเกษตรโดยปลูกพืชผลต่าง ๆ ในที่ดินที่โจทก์ครอบครองทั้งหมดด้วยตามคำฟ้องโจทก์ดังกล่าวนอกจากจะเป็นการกล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิในการทำเหมืองแร่โดยรับโอนสิทธิตามประทานบัตรแล้วยังได้กล่าวอ้างมาด้วยว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อหรือรับโอนมาจากเจ้าของที่ดินเดิมอีกด้วย เห็นว่าสิทธิตามประทานบัตรซึ่งเป็นสิทธิในการทำเหมืองแร่นั้น เป็นสิทธิที่จะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 อันแตกต่างกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงเป็นสิทธิคนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้ หาใช่ว่าหากผู้ใดมีสิทธิตามประทานบัตรแล้ว ก็ไม่อาจมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามประทานบัตรนั้นได้เลยไม่ มิฉะนั้นจะมีผลเป็นว่าผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงใดโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แต่เดิมแล้วหากต่อมาได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ในที่ดินแปลงดังกล่าวจะทำให้สิทธิครอบครองซึ่งมีอยู่เดิมก่อนแล้วต้องหมดสิ้นไปด้วย สำหรับคดีนี้โจทก์มีนายประมูล เขียวหวาน ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และเป็นหัวหน้าช่างแผนที่มีหน้าที่ระวังดูแลที่ดินของโจทก์เบิกความยืนยันว่า โจทก์ซื้อทั้งสิทธิครอบครองและสิทธิประโยชน์ในที่ดินรวมทั้งหมดจากบริษัทไซมีสทินซินดิเกต จำกัด มาตั้งแต่ปี 2514และมีนายประชา ศิริรัตน์ รองหัวหน้าคนงานมีหน้าที่ดูแลพืชผลของโจทก์เบิกความยืนว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาท โดยปักเสาคอนกรีตขึงลวดหนามล้อมรอบอาณาบริเวณที่ดินที่โจทก์เคยทำเหมืองแร่และปลูกพืชผลอาสิณ เช่นต้นมะม่วงหิมพานต์ ต้นยูคาลิปตัส ต้นเงาะและต้นมะพร้าว เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของมาโดยตลอด ส่วนจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและมิได้อ้างตนเองเข้ามาเบิกความให้เห็นเป็นอย่างอื่น นอกจากนี้ยังปรากฏตามสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับบริษัทไซมีสทินซินดิเกต จำกัด เอกสารหมาย จ. 3 ข้อ 1ระบุว่า ผู้ขายจะขายและผู้ซื้อ (โจทก์) จะซื้อที่ดินกรรมสิทธิ์และผลประโยชน์ทั้งหมดในที่ดินแปลงเหนือดังกล่าวนี้ และตามเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งเป็นบันทึกการที่โจทก์ได้รับเอกสารต่าง ๆเกี่ยวกับการซื้อขายตามหมาย จ.3 ก็ระบุว่า โจทก์ได้รับหนังสือสำคัญซื้อขายที่ดินที่เจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมขายให้บริษัทแอลลูเวียลทิน (สยาม) จำกัด และเจ้าของแต่ละรายได้รับเงินค่าที่ดินไปเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งที่ดินของนายแคล้วสุทธานันท์ นางปาน บุญเจียม นายติ้น จันทรักษา นางโหงย แซ่หลี(นาย หลี บี) นายหงวน นายเกียรติ และนายมงคลด้วย แม้ตามบันทึกดังกล่าวจะมีข้อความว่า เจ้าของที่ดินเดิมได้แจ้งแก่นายอำเภอให้ทราบว่าเจ้าของที่ดินเดิมแต่ละรายที่ยื่นแบบแจ้งการครอบครองไว้นั้น ได้โอนสิทธิครอบครองในที่ดินแต่ละรายให้แก่ผู้อื่นไปแล้วเท่านั้น หากจะถือว่าข้อความดังกล่าวเป็นการสละสิทธิครอบครองเป็นการสละสิทธิครอบครองเพราะได้โอนไปให้แก่บุคคลอื่นแล้วโดยตนเองมิได้ยึดถือครอบครองเพื่อตนอีกต่อไป หาใช่ว่าเป็นการสละสิทธิครอบครองอันจะมีผลทำให้ที่ดินดังกล่าวกลับกลายสภาพเป็นที่รกร้างว่างเปล่าแต่อย่างใดไม่ ทั้งได้ความชัดแจ้งว่าการที่เจ้าของที่ดินเหล่านั้นสละสิทธิครอบครองในที่ดินของตนก็เพื่อโอนให้แก่บริษัทแอลลูเวียลทิน (สยาม) จำกัด เพื่อนำไปขอประทานบัตร ที่ดินพิพาทและที่ดินบริเวณดังกล่าวตามประทานบัตรของโจทก์ ซึ่งรับโอนมาจากบริษัทไซมีสทินซินดิเกต จำกัดผู้รับโอนมาจากบริษัทแอลลูเวียลทิน (สยาม) จำกัด อีกต่อหนึ่งจึงมิใช่ที่ว่างตามพระราชบัญญัติที่แร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 4แต่ประการใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิครอบครองได้โอนการครอบครองติดต่อกันมาจนถึงโจทก์ซึ่งรับโอนทั้งสิทธิครอบครองและสิทธิตามประทานบัตรจากบริษัทไซมีสทินซินติเกต จำกัด และได้ความว่าโจทก์ได้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367แม้ประทานบัตรของโจทก์หมดอายุแล้วก็หามีผลทำให้โจทก์สิ้นสิทธิครอบครองในที่ดินซึ่งเป็นสิทธิคนละส่วนกันแต่อย่างใดไม่การที่จำเลยและบริวารบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินพิพาท จึงเป็นการรบกวนการครอบครองอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากที่ดินพิพาทได้
พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามฟ้อง และห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป

Share