คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2346/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามจำนวนในสัญญากู้ 8,000 บาท แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในคำฟ้องว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนนี้ไปแล้ว แต่พอเข้าใจตามคำฟ้องนั้นได้ว่าจำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้แล้ว จำเลยให้การว่ากู้ไปเพียง 300 บาทแต่โจทก์ตกลงให้มารับเงินกู้ไปจนครบจำนวนที่ลงไว้ในสัญญากู้ จำเลยได้รับเงินกู้ไปหลายครั้ง เป็นเงินรวมทั้งหมด 3,300 บาท เห็นได้ว่าจำเลยสู้คดีว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องไม่สมบูรณ์ เพราะโจทก์ส่งมอบเงินตามสัญญากู้ให้จำเลยไม่ครบจำนวนที่ตกลงกัน จำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ของ จำเลยได้ว่าได้รับเงินจากโจทก์ไปแล้วเป็นจำนวนเท่าใด ไม่ใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคท้าย
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีโดยมิได้นำข้อความในเอกสารบางข้อที่อ้างอิงขึ้นมาวินิจฉัย แต่นำข้อความบางข้อมาวินิจฉัยในทางที่เป็นผลร้ายแก่โจทก์ เป็นการมิชอบ เป็นการโต้เถีงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานในการวินิจฉัยคดีของศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกิน 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาเป็นปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 8,000 บาท ให้ดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี กำหนดใช้เงินคืนในวันที่ 31 มีนาคม 2510 จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ 55 เดือน แล้วไม่ชำระอีก โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยก็ไม่ชำระ ดอกเบี้ยรวม 34 เดือน ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,400 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 11,400 บาท และเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินกู้แต่วันฟ้องจนกว่จะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า ความจริงกู้ต้นเงินเพียง 300 บาท แต่โจทก์ให้ลงจำนวนเงินกู้ในสัญญาไว้ 8,000 บาท เมื่อจำเลยต้องการเงินอีกเมื่อใดก็ให้มาเอาจนครบจำนวนเงินตามสัญญากู้ ต่อมาจำเลยได้มาเอาเงินกู้จากโจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 3,000 บาท แล้วโจทก์ไม่ยอมให้เงินแก่จำเลยอีก สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้รับเงินครบถ้วนตามจำนวนเงินที่ได้ลงไว้ในหนังสือสัญญากู้ โจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และจำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้ไม่มีติดค้างกัน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะได้อีก

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไปตามจำนวนที่จำเลยรับเพียง 3,300 บาท โจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรากฎหมายกำหนด จึงมิชอบ จำเลยชำระดอกเบี้ยเกินจำนวนดอกเบี้ยที่โจทก์พึงได้ตามกฎหมายเป็นจำนวนมากแล้ว จึงไม่ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอีก พิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินกู้3,300 บาทแก่โจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไป 300 บาทแต่ลงจำนวนเงินในสัญญากู้ 8,000 บาท ตกลงกันว่าเมื่อจำเลยต้องการเงินอีกก็ให้มารับไปจากโจทก์จนครบจำนวนในหนังสือสัญญากู้ จำเลยมารับเงินจากโจทก์ไปอีกหลายครั้งรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,300 บาท ได้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อสัปดาห์ตามจำนวนเงินที่รับมาเป็นดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายให้โจทก์ไปแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยจะนำสืบพยานบุคคลเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญากู้ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามจำนวนในสัญญากู้8,000 บาท แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในคำฟ้องว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนนี้ไปแล้วแต่พอเข้าใจตามคำฟ้องนั้นได้ว่าจำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้แล้ว จำเลยให้การว่ากู้ไปเพียง 300 บาท แต่โจทก์ตกลงให้จำเลยมารับเงินกู้ไปจนครบจำนวนที่ลงไว้ในสัญญากู้ จำเลยได้รับเงินกู้ไปหลายครั้ง เป็นเงินรวมทั้งหมด 3,300 บาทเห็นได้ว่าจำเลยสู้คดีว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องไม่สมบูรณ์ เพราะโจทก์ส่งมอบเงินตามสัญญากู้ให้จำเลยไม่ครบจำนวนที่ตกลงกัน จำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยได้ว่าได้รับเงินจากโจทก์ไปแล้วเป็นจำนวนเท่าใด จึงไม่ใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีโดยมิได้นำข้อความในเอกสารบางข้อที่อ้างอิงขึ้นมาวินิจฉัย แต่นำข้อความบางข้อมาวินิจฉัยในทางที่เป็นผลร้ายแก่โจทก์เป็นการมิชอบนั้น เห็นว่า การที่โจทก์ฎีกาโต้เถียงว่า ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกข้อความในเอกสารบางข้อขึ้นมาวินิจฉัยนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานในการวินิจฉัยคดีของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกิน 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share