คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีคำขอให้จำเลยจ่ายเงินค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ15ทุกระยะเวลาเจ็ดวันนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จซึ่งเป็นการขอให้บังคับจำเลยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ31วรรคสองแม้ว่าศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทในประเด็นข้อ3ว่าจำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายค่าล่วงเวลาและดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใดต่อมาโจทก์จำเลยแถลงขอสละประเด็นข้อ3เรื่องค่าเสียหายคงเหลือประเด็นค่าล่วงเวลาและดอกเบี้ยโดยจำเลยมิได้คัดค้านการกำหนดประเด็นดังกล่าวแต่ประเด็นในคดีย่อมต้องเกิดจากคำฟ้องและคำให้การเมื่อโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องถึงเรื่องดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปีจากเงินค่าล่วงเวลาจึงเป็นการกำหนดประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องถือว่าการกำหนดประเด็นส่วนของดอกเบี้ยเป็นการไม่ชอบแม้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ต้องถือว่าวินิจฉัยในเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลแรงงานกลางนอกจากนี้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา52ยังห้ามมิได้ศาลแรงงานพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องเว้นแต่ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความจะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับก็ได้จึงเห็นได้ว่าโดยหลักแล้วจะสั่งเช่นนั้นไม่ได้นอกจากจะเข้าข้อยกเว้นซึ่งในคำพิพากษาศาลแรงงานกลางมิได้กล่าวว่ามีเหตุสมควรอย่างไรจึงให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์กรณีจึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีจากเงินค่าล่วงเวลาที่จำเลยต้องจ่ายให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2535 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยทั้งสี่ ครั้งสุดท้ายได้รับค่าจ้างเดือนละ 36,000 บาทต่อมาวันที่ 31 กรกฎาคม 2537 จำเลยทั้งสี่เลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม จึงขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย คิดเป็นเงิน 144,000 บาทนอกจากนี้ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2537 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2537จำเลยทั้งสี่สั่งให้โจทก์ทำงานล่วงเวลาทำงานตามปกติออกไปอีกวันละ 3 ชั่วโมง รวมโจทก์ทำงานล่วงเวลาสัปดาห์ละ 18 ชั่วโมงคิดเป็นค่าล่วงเวลาทั้งสิ้นเป็นเงิน 124,200 บาท จึงขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวกับเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสิบห้าทุกระยะเวลาเจ็ดวันนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสี่จะชำระเงินเสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้เป็นนายจ้างโจทก์ แต่โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 4เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากสภาพงานที่โจทก์มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเสร็จสิ้นเรียบร้อยจึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม จำเลยที่ 4ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ ส่วนค่าล่วงเวลาที่โจทก์ฟ้องมาจำเลยที่ 4 ไม่ต้องจ่ายให้เนื่องจากโจทก์เป็นหัวหน้างานมีอำนาจหน้าที่กระทำการแทนนายจ้างในกรณีการจ้างการลดค่าจ้างการเลิกจ้าง การให้บำเหน็จ การลงโทษ หรือการกำหนดวันหยุดวันลาให้แก่คนงาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังนี้
ข้อ 1. จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นนายจ้างโจทก์หรือไม่
ข้อ 2. จำเลยเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่
ข้อ 3. จำเลยต้องจ่ายค่าเสียหาย ค่าล่วงเวลา และดอกเบี้ยหรือไม่ เพียงใดต่อมาโจทก์ จำเลยแถลงสละประเด็นข้อพิพาท ข้อ 2.เรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และประเด็นข้อ 3. เรื่องค่าเสียหายตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 31 มีนาคม 2538
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระค่าล่วงเวลาให้โจทก์จำนวน 121,500 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จะชำระเงินเสร็จสิ้นคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “เห็นว่าในส่วนที่เกี่ยวกับเงินค่าล่วงเวลาโจทก์มีคำขอให้จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ทุกระยะเวลาเจ็ดวันนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งเป็นการขอให้บังคับจำเลยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31 วรรคสองแม้ว่าศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทในประเด็นข้อ 3 ว่าจำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายค่าล่วงเวลาและดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใดต่อมาโจทก์จำเลยแถลงขอสละประเด็นข้อ 3 เรื่องค่าเสียหาย คงเหลือประเด็นค่าล่วงเวลาและดอกเบี้ยโดยจำเลยมิได้คัดค้านการกำหนดประเด็นดังกล่าว แต่ประเด็นในคดีย่อมต้องเกิดจากคำฟ้องและคำให้การเมื่อโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องถึงเรื่องดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปี ซึ่งกำหนดไว้ในประกาศดังกล่าวข้อ 31 วรรคหนึ่งจึงเป็นการกำหนดประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องถือว่าการกำหนดประเด็นส่วนของดอกเบี้ยเป็นการไม่ชอบแม้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ก็ต้องถือว่าวินิจฉัยในเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลแรงงานกลางและตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 52 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ศาลแรงงานพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความจะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับก็ได้” จะเห็นว่าโดยหลักแล้วจะสั่งเช่นนั้นไม่ได้ นอกจากจะเข้าข้อยกเว้น แต่ในคำพิพากษาศาลแรงงานกลางก็มิได้กล่าวว่ามีเหตุสมควรอย่างไรจึงให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีจากเงินค่าล่วงเวลาที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share