คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานโจทก์ทั้งสองปากไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อนไม่น่าระแวงว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยทั้งเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่และตามบันทึกการจับกุมก็มีข้อความตรงตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากพยานหลักฐานของโจทก์สอดคล้องต้องกันมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงพยานจำเลยรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2538 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2จำนวน 380 เม็ด น้ำหนักรวม 27.7 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้4.8 กรัม มีปริมาณเกินกว่า 0.500 กรัม ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครองเพื่อขาย จำหน่าย จ่ายแจกเพื่อประโยชน์ในทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมืองสมุทรสาครจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 5, 6, 11,12, 89, 106, 106 ทวิ, 116 และริบของกลางที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 ลงโทษจำคุก 6 ปีริบของกลางที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 4.8 กรัม จริง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาหรือไม่โจทก์มีร้อยตำรวจเอกสายัณห์ เพิ่งบุญชู พยานโจทก์เบิกความว่าเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2538 เวลากลางวัน ได้รับคำสั่งจากพันตำรวจเอกสมชัย ศรีภิญโญ ให้ไปจับคนร้ายขายเมทแอมเฟตามีนซึ่งจะใช้เส้นทางเข้าสนามกอล์ฟเอกชัย พยานกับพวกจึงไปตั้งจุดตรวจ เวลาประมาณ 23 นาฬิกา จำเลยขับรถจักรยานยนต์จากสนามกอล์ฟเอกชัยไปตามถนนก่อนจะถึงจุดตรวจพยานกับพวกเปิดไฟฉายส่องไปยังจำเลย จำเลยจอดรถพยานกับพวกได้เข้าตรวจค้นรถจักรยานยนต์โดยพยานดึงผ้าที่ปิดไว้ระหว่างหน้ากากรถจักรยานยนต์กับตัวเรือนไมล์ทางด้านหน้ารถออกพบกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมดึงกล่องเหล็กขึ้นมาจำเลยเห็นดังกล่าวก็วิ่งหลบหนีไปได้ประมาณ 20 เมตร ก็ล้มลงพยานกับพวกจึงจับไว้ได้ นำตัวจำเลยมาที่รถจักรยานยนต์แล้วพยานเปิดกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมดูต่อหน้าจำเลย ปรากฏว่าภายในกล่องบรรจุเมทแอมเฟตามีนจำนวน 380 เม็ด สอบถามจำเลยแล้วจำเลยให้การว่าจำเลยไปรับเมทแอมเฟตามีนจากผู้อื่นแต่ไม่ยอมเปิดเผยว่ารับมาจากผู้ใด พยานจึงแจ้งข้อหาจำเลยว่า มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2เพื่อขายและขาย จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ตอนเขียนบันทึกการจับกุมในช่องคำให้การผู้ต้องหาจำเลยขอให้การปฏิเสธ ตามเอกสารหมาย จ.1และพยานเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะจ่าสิบตำรวจอรัญเขียนบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 พยานอยู่ด้วย จำเลยเป็นผู้ให้การถึงพฤติการณ์เพื่อให้บันทึกไว้ในเอกสารหมาย จ.1 ด้วยตนเองเมื่อบันทึกเสร็จให้จำเลยลงลายมือชื่อ แต่พอมาถึงบันทึกในช่องผู้ต้องหาให้การจำเลยเป็นคนบอกว่า ขอให้การปฏิเสธ และจ่าสิบตำรวจอรัญ ทาเกตุ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความทำนองเดียวกันกับร้อยตำรวจเอกสายัณห์ และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าพยานเป็นผู้เขียนบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ด้วยตนเอง บันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ด้านหน้าจำเลยให้การรับสารภาพ พอมาเขียนด้านหลังจำเลยให้การปฏิเสธ จำเลยเบิกความเป็นพยานว่า ขณะเกิดเหตุมีคนมาดัก 4 ถึง 5 คน จำเลยจะขับรถจักรยานยนต์หลบแต่หลบไม่พ้นจำเลยคิดว่าเป็นพวกโจร เมื่อถูกถีบรถจักรยานยนต์ล้มลงได้วิ่งหนีมีคนมาเตะขาล้มลงแล้วถูกดึงคอลากไปตรงจุดที่รถจักรยานยนต์ล้มบริเวณนั้นเป็นคิวรถจักรยานยนต์รับจ้าง ต่อมาพวกที่ทำร้ายจำเลยนำจำเลยขึ้นรถไปสถานีตำรวจภูธรตำบลบางน้ำจืด และรุมทำร้ายจำเลยเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยลงลายมือชื่อในเอกสาร จำเลยไม่ยอมลงลายมือชื่อ เห็นว่าพยานโจทก์ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อน ไม่น่าระแวงว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย ทั้งเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ น่าเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริงและตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ด้านหน้าก็มีข้อความตรงตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากกล่าวคือข้อความที่จำเลยรับว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยมีไว้เพื่อขายให้แก่ลูกค้า และลงลายมือชื่อของจำเลยไว้ใต้ข้อความดังกล่าวส่วนด้านหลังจำเลยให้การปฏิเสธ พยานหลักฐานของโจทก์สอดคล้องต้องกันมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคง พยานจำเลยรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า เจ้าพนักงานตำรวจค้นได้เมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยจำนวน 380 เม็ดซึ่งเป็นจำนวนมาก เชื่อได้ว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายอันถือเป็นการขายตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 4 จำเลยจึงมีความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 4.8 กรัมเกินกว่าปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนดอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง,106 ทวิ ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาด้วย ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานขาย แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปรับบทความผิดตามมาตรา62 วรรคหนึ่ง, 106 ทวิ ไว้ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ซึ่งยังไม่ถูกต้อง แม้โจทก์ไม่ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องโดยลงโทษเท่าเดิมได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษฐานขายตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 จำคุก 6 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share