คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6586/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา22กำหนดว่าเมื่อจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วจำเลยไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนได้ไม่ว่าในชั้นพิจารณาหรือชั้นบังคับคดีเพราะกฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวจำเลยจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอในคดีแพ่งเรื่องอื่นที่จำเลยถูกฟ้องเพื่อมิให้ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยและปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบด้วยมาตรา246,247และพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา153

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งหกไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 177781 และ 177782ของจำเลยที่ 4 เพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษา
จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 4 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2525 ก่อนถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจดำเนินคดีนี้แทนจำเลยที่่ 4แต่ปรากฎว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้เข้าดำเนินคดีนี้แทนการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีนี้จึงฝ่าฝืนต่อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ดังนั้น คำพิพากษาของคดีนี้จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 4ขอให้มีคำสั่งว่าคำพิพากษาดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลยที่ 4
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะไม่ทราบว่าจำเลยที่ 4 ถูกฟ้องเป็นคดีนี้ จึงไม่่ได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้นั้น เป็นสิทธิและดุลพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะเข้ามาในคดีนี้หรือไม่ก็ได้ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 25 ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 4 มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีนี้ คดีจึงถึงที่สุดและคำพิพากษาในคดีนี้มีผลผูกพันจำเลยที่ 4
จำเลย ที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า คดีหมายเลขแดงที่ ล.307/2526 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (จำเลยที่ 4) ชั่วคราวเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2525 และมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2526 ส่วนโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2526 และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2526 ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า คำพิพากษาของศาลในคดีนี้ไม่ผูกพันจำเลยที่ 4 นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 22 บัญญัติว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) จัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือกระทำการที่จำเป็นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นไป
(2) เก็บรวมรวมและรบเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่ลูกหนี้หรือซึ่งลูกหนี้มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น
(3) ประนีประนอมยอมความ หรือฟ้องร้อง หรือต่อสู้คดีใด ๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้
บทบัญญัติดังกล่าวกำหนดไว้โดยแจ้งชัดว่าเมื่อจำเลยที่ 4 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จำเลยที่ 4 ไม่มีอำนาจดำเนินการกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนได้ ไม่ว่าในชั้นพิจารณาหรือชั้นบังคับคดีเพราะกฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 4 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องคดีนี้และปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247 และ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา153
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กับให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 4 คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยที่ 4

Share