แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติอ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติและออกคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนแก้ไขหรือกระทำประการอื่นใดแก่สิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติภายใน30วันแม้ต่อมาโจทก์จะฟ้องจำเลยขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือขาดประโยชน์จากที่ดินของโจทก์อีกต่อไปโดยโต้แย้งว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้ส่วนราชการดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ฐานไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานก็เป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยห้ามมิให้จำเลยใช้สิทธิดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงมุล จังหวัดขอนแก่นที่ได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507ออกคำสั่งจังหวัดขอนแก่นที่ 3920/2535 โดยอ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงมูล บริเวณหนองลุมพุกและบริเวณหนองฝาง เนื้อที่ 50 ไร่และ 59 ไร่ ตามลำดับและสั่งให้โจทก์ทำการรื้อถอนแก้ไขหรือกระทำประการอื่นใดแก่สิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติภายใน 30 วัน ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะที่ดินโจทก์ดังกล่าวมิได้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงมูล ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือขาดประโยชน์จากที่ดินของโจทก์อีกต่อไป ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวว่า หลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยแล้วจำเลยได้มีหนังสือแจ้งให้อำเภอน้ำพองร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108, 108 ทวิ ขอให้ห้ามมิให้จำเลยกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดหรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้องเกี่ยวกับคำสั่งจังหวัดขอนแก่นที่ 3920/2535 จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ยกคำร้อง ของ โจทก์
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยห้ามมิให้จำเลยกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดหรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254(2) โดยฎีกาว่า เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยว่าคำสั่งของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่จำเลยมีหนังสือขอให้อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108, 108 ทวิ ซึ่งความผิดตามที่จำเลยแจ้งให้อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ดำเนินการนั้นเป็นความผิดฐานไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน การกระทำใด ๆอันเกิดจากหรือต่อเนื่องกับคำสั่งจังหวัดขอนแก่นที่ 3920/2535 นั้นเป็นการกระทำที่ถือได้ว่าเป็นการกระทำซ้ำหรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้องทั้งสิ้น เพราะถ้าคำสั่งจังหวัดขอนแก่นที่ 3920/2535 เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะไม่ปฎิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เห็นว่า การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงมูล จังหวัดขอนแก่น อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ออกคำสั่งจังหวัดขอนแก่นที่ 3920/2535 โดยอ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงมูล บริเวณหนองลุมพุก ตำบลบ้านฝางอำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 50 ไร่ และบริเวณหนองฝาง ตำบลบ้านฝาง อำเภอกระนวน และตำบลบัวเงินอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 59 ไร่ และสั่งให้โจทก์ทำการรื้อถอน แก้ไขหรือกระทำประการอื่นใดแก่สิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติภายใน 30 วันแม้ต่อมาโจทก์จะฟ้องจำเลยขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องหรือกระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือขาดประโยชน์จากที่ดินของโจทก์อีกต่อไป โดยโต้แย้งว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ครอบครองที่ดินอยู่คนละตำบลและคนละอำเภอก็ตาม แต่การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108, 108 ทวิ ฐานไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานนั้นเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและเป็นการใช้สิทธิในขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เพราะเมื่อโจทก์ไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของจำเลยแล้ว ย่อมอาจเป็นความผิดต่อกฎหมายได้ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องหรือขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้จำเลยใช้สิทธิดังกล่าว ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยห้ามมิให้จำเลยใช้สิทธิดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ต่อไปอีกเช่นกัน ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน