แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่โจทก์ฎีกาว่าคำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ใดแต่ปรากฏว่าตามคำร้องได้ระบุไว้แล้วว่าเป็นของผู้ร้องกับส.ที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกให้ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ไม่เป็นความจริงจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าคำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุมหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยมาศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้ ในประเด็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งซึ่งผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ร้องกับส. เมื่อผู้ตายถึงแก่กรรมที่ดินและบ้านพิพาทจึงตกเป็นสิทธิของผู้ร้องกับส.โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดมาชำระหนี้โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกอื่นอีกและพินัยกรรมไม่ได้ระบุว่าให้ที่ดินแปลงใดหรือให้ที่ดินมีเอกสารสิทธิหรือไม่ทั้งสิ่งปลูกสร้างหรือบ้านที่กำหนดให้ก็มิได้ระบุว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างอะไรบ้านเลขที่เท่าใดตั้งอยู่ที่ไหนข้อความที่ตกเติมในพินัยกรรมก็ไม่มีลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมกำกับไว้จึงเป็นพินัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์เมื่อผู้ตายไม่มีทรัพย์มรดกอื่นนอกจากที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งผู้ร้องยังไม่ได้มีการจัดการมรดกโจทก์จึงนำยึดมาชำระหนี้ได้ล้วนเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อที่ดินและบ้านพิพาทมีราคารวมกันไม่เกินห้าหมื่นบาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่ง การโต้เถียงว่าศาลวินิจฉัยคดีนอกประเด็นหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้มาจึงเป็นการไม่ชอบแต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อนการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกคือที่ดินอีก20ไร่ก็เป็นการยกเหตุผลขึ้นมาสนับสนุนให้เห็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์ตามพินัยกรรมอันอยู่ในประเด็นพิพาทว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่หาใช่เป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นไม่
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระเงินจำนวน 56,678 บาท พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาจำเลยไม่ชำระเงินดังกล่าว โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 1หมู่ที่ 2 พร้อมที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1018ตำบลห้วยโป่ง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี อ้างว่าเป็นของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดไม่ใช่ของจำเลยแต่เป็นของนางลำไพ น้อยเจริญหรือมากผาสุก ผู้ตาย ซึ่งได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ร้องและนางสายสุนีย์ รังสิยานนท์ โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์ให้การว่า คำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงแจ้งชัดว่าทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ใด โจทก์ไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้องแต่อย่างไรก็ดีทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของผู้ตายซึ่งตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาท เมื่อทายาทไม่ชำระหนี้โจทก์จึงมีสิทธินำยึด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยบ้านเลขที่ 1 หมู่ที่ 2พร้อมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1018 ตำบลห้วยโป่ง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรีที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า คำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ใด แต่ปรากฏว่าตามคำร้องได้ระบุไว้แล้วว่าเป็นของผู้ร้องกับนางสายสุนีย์ รังสิยานนท์ที่นางลำไพ น้อยเจริญหรือมากผาสุก ผู้ตาย ทำพินัยกรรมยกให้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ไม่เป็นความจริง จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า คำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุมหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกขึ้นวินิจฉัยมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าปัญหาว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ และศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายมีที่ดินอีก 20 ไร่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในประเด็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งซึ่งผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ร้องกับนางสายสุนีย์ เมื่อผู้ตายถึงแก่กรรมที่ดินและบ้านพิพาทจึงตกเป็นสิทธิของผู้ร้องกับนางสายสุนีย์ โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดมาชำระหนี้ โจทก์อุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกอื่นอีก และพินัยกรรมไม่ได้ระบุว่าให้ที่ดินแปลงใดหรือให้ที่ดินมีเอกสารสิทธิหรือไม่ทั้งสิ่งปลูกสร้างหรือบ้านที่กำหนดให้ก็มิได้ระบุว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างอะไร บ้านเลขที่เท่าใดตั้งอยู่ที่ไหน ข้อความที่ตกเติมในพินัยกรรมก็ไม่มีลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมกำกับไว้จึงเป็นพินัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อผู้ตายไม่มีทรัพย์มรดกอื่นนอกจากที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งผู้ร้องยังไม่ได้มีการจัดการมรดก โจทก์จึงนำยึดมาชำระหนี้ได้ ล้วนเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อที่ดินและบ้านพิพาทมีราคารวมกันไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาดังกล่าวชอบแล้ว ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายมีที่ดินอีก 20 ไร่ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นว่าการโต้เถียงว่าศาลวินิจฉัยคดีนอกประเด็นหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้มาจึงเป็นการไม่ชอบ แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยก่อน และเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ตายมีทรัพย์มรดกคืนที่ดินอีก 20 ไร่ ก็เป็นการยกเหตุผลขึ้นมาสนับสนุนให้เห็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์ตามพินัยกรรมอันอยู่ในประเด็นพิพาทว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ หาใช่เป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นไม่
พิพากษายืน