คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5113/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่1ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่2เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและสัญญาเช่าซื้อไม่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้เงินตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่2พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดต่อโจทก์จำเลยที่2เพียงแต่กล่าวมาในคำแก้อุทธรณ์ว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางโดยมิได้อุทธรณ์ขึ้นมาประเด็นข้อพิพาทในส่วนนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่จำเลยที่2ฎีกาข้อแรกว่าโจทก์ฟ้องเรื่องเช่าซื้ออันไม่เป็นความจริงความจริงโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ฟ้องจำเลยผิดข้อหาหรือฐานความผิดจำเลยไม่ควรรับผิดตามฟ้องของโจทก์และจำเลยที่1กู้ยืมเงินโจทก์มาเป็นเงิน250,000บาทเมื่อจำเลยที่1ชำระให้โจทก์ไปแล้วเป็นเงิน125,489บาทคงเหลืออีก124,511บาทเท่าที่จำเลยที่1จะต้องชำระให้แก่โจทก์ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมนั้นโจทก์คิดจากจำเลยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยจึงไม่ต้องชำระให้แก่โจทก์นั้นล้วนเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งและไม่ใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2532 จำเลยที่ 1ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ จากโจทก์ในราคา 347,508 บาท ตกลงผ่อนชำระ36 งวด งวดละ 9,653 บาท ต่อเดือน ชำระงวดแรกวันที่ 10 ธันวาคม2532 งวดต่อไปทุกวันที่ 10 ของเดือน จนกว่าจะครบมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อโจทก์จึงบอกเลิกสัญญา แต่จำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองใช้รถยนต์ของโจทก์ต่อไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 200,000 บาท ให้ชำระค่าขาดประโยชน์จำนวน120,000 บาท และอีกเดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าติดตามยึดรถยนต์คืนจำนวน 2,000 บาท และให้ร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 122,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์ของจำเลยที่ 1 แต่สัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 100,000 บาท ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 61,000 บาท และอีกเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยทั้งสองคืนรถยนต์แก่โจทก์ไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 140,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและสัญญาเช่าซื้อไม่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้เงินตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เพียงแต่กล่าวมาในคำแก้อุทธรณ์ว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพราง โดยมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา ประเด็นข้อพิพาทในส่วนนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ฟ้องเรื่องเช่าซื้ออันไม่เป็นความจริงความจริงโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงิน โจทก์ฟ้องจำเลยผิดข้อหาหรือฐานความผิดจำเลยไม่ควรต้องรับผิดตามฟ้องของโจทก์ และฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์มาเป็นเงิน 250,000 บาทเมื่อจำเลยที่ 1 ชำระให้โจทก์ไปแล้วเป็นเงิน 125,489 บาทคงเหลืออีก 124,511 บาท เท่าที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระให้แก่โจทก์ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมนั้นโจทก์คิดจากจำเลยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยจึงไม่ต้องชำระให้แก่โจทก์นั้น ล้วนเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง และไม่ใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 2

Share