คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5100/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยที่1ยังโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทอยู่การที่จำเลยที่1เอาความอันรู้อยู่ว่าเป็นเท็จฟ้องโจทก์ต่อศาลว่าโจทก์กระทำความผิดอาญาในความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำความผิดดังกล่าวแต่เมื่อปรากฏว่าในบริเวณที่ดินพิพาทที่จำเลยที่1อ้างว่าโจทก์นำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดันต้นยางพาราของจำเลยที่1ไม่มีต้นยางพาราพันธุ์จี.ที.ปลูกอยู่การที่จำเลยที่1นำความอันรู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาฟ้องและเบิกความเท็จว่าโจทก์นำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดันต้นยางพาราพันธุ์จี.ที.ของจำเลยที่1เสียหาย57ต้นและจำเลยที่2เบิกความเท็จว่าต้นยางพาราบริเวณดังกล่าวจำเลยที่1ปลูกมาประมาณ2ถึง3ปีแล้วอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยจำเลยที่1รู้อยู่ว่าข้อความตามฟ้องและที่จำเลยทั้งสองเบิกความเบิกความนั้นเป็นเท็จและความเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยที่1จึงมีความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา175และ177วรรคสองจำเลยที่2มีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา177วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 90, 91, 175, 177
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 177 วรรคสอง ให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฟ้องเท็จ จำคุก3 เดือน ฐานเบิกความเท็จ จำคุก 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 9 เดือน จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง จำคุก 6 เดือนโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วย
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทอยู่ และบริเวณที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์นั้น ไม่มีต้นยางพาราพันธุ์ จี.ที. ของจำเลยที่ 1 ปลูกอยู่ การที่จำเลยที่ 1 เอาความอันรู้อยู่ว่าเป็นเท็จฟ้องโจทก์ต่อศาล ตามคดีอาญาสินไหมหมายเลขแดงที่ 1352/2534ของศาลชั้นต้นว่า โจทก์กระทำความผิดอาญาในความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ แม้ความผิดฐานบุกรุก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 1อ้างว่าโจทก์บุกรุกอยู่ ยังฟังไม่ได้ชัดว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก ส่วนความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ พยานของจำเลยที่ 1 มีพิรุธไม่น่าเชื่อถือฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทำให้เสียทรัพย์ แต่เมื่อปรากฏว่าในบริเวณที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์นำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดินต้นยางพาราของจำเลยที่ 1 ไม่มีต้นยางพาราพันธุ์ จี.ที. ปลูกอยู่การที่จำเลยที่ 1 นำความอันรู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาฟ้องและเบิกความเท็จว่าโจทก์นำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดันต้นยางพาราพันธุ์ จี.ที.ของจำเลยที่ 1 เสียหาย 57 ต้น และจำเลยที่ 2 เบิกความเท็จว่าต้นยางพาราบริเวณดังกล่าวจำเลยที่ 1 ปลูกมาประมาณ 2ถึง 3 ปีแล้ว อันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยจำเลยที่ 1 รู้อยู่ว่าข้อความตามฟ้องและที่จำเลยทั้งสองเบิกความนั้นเป็นเท็จ และความเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 และ 177 วรรคสอง จำเลยที่ 2มีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share