คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5058/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าของเดิมได้อุทิศที่ดินบางส่วนให้เป็นทางสาธารณะโดยประชาชนได้ใช้ทางพิพาทนั้นตลอดมาเป็นเวลา20ปีแล้วไม่ปรากฎว่าผู้รับโอนต่อๆมาได้หวงห้ามทางพิพาทจึงเป็นทางสาธารณะ โจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นเจ้าของที่ดินและมีบ้านในที่ดินซึ่งต้องใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ถนนเป็นประจำไม่มีทางเลือกอื่นหากปิดกั้นทางพิพาทโจทก์ทั้งสิบเอ็ดย่อมได้รับความเสียหายโดยตรงการที่จำเลยและบริวารรุกล้ำทางสาธารณะพิพาททำให้โจทก์ไม่ได้รับความสะดวกในการใช้เหมือนเดิมโจทก์ทั้งสิบเอ็ดย่อมจะเป็นผู้ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจากการกระทำของจำเลยโจทก์ทั้งสิบเอ็ดจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้รุกล้ำทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสิบเอ็ดขอคิดค่าเสียหายโดยใช้วิธีประเมินเอาจึงมิใช่ความเสียหายตามความเป็นจริงแต่เป็นค่าเสียหายที่ศาลต้องวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสิบเอ็ดฟ้องว่า นายปิติได้อุทิศที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดที่ 24073 ทำเป็นถนนลาดยางกว้างประมาณ 10 เมตรผ่านกลางที่ดินแปลงดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางเข้าออกจากที่ดินโฉนดที่ 9552 สู่ทางสาธารณะ โจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินในหมู่บ้านบุญสูง ซึ่งแบ่งมาจากที่ดินโฉนดที่ 9552 โจทก์และบุคคลอื่นซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบุญสูงได้ใช้ทางดังกล่าวสำหรับเข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นระยะเวลาเกิน 10 ปี ได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความ จำเลยได้ก่อสร้างอาคารรุกล้ำเข้ามาในทางสาธารณะหรือทางภารจำยอมขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือทางภารจำยอม ให้จำเลยไปจดทะเบียนเป็นภารยทรัพย์สำหรับทางสาธารณประโยชน์หรือทางภารจำยอมให้จำเลยรื้อถอนอาคารและสิ่งของที่รุกล้ำออกไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด
จำเลยให้การว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ได้แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดที่ 9552 ทางพิพาทไม่ได้อยู่ในที่ดินโฉนดที่ 24073นายปิติไม่ได้อุทิศที่ดินบางส่วนในโฉนดที่ 24073 เป็นทางสาธารณะและโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่เคยใช้เป็นทางเข้าออก จำเลยซื้อที่ดินโฉนดที่ 24073 มาจากนายธนะชัย ทองสว่าง ซึ่งเป็นผู้รับโอนรายที่ 3 ตามรายการจดทะเบียนก็ไม่ปรากฎรายการว่ามีทางสาธารณะอยู่ในโฉนดที่ดินดังกล่าว นายปิติเพียงแต่ยินยอมให้ใช้ที่ดินพิพาทผ่านเข้าออกในหมู่บ้านตนเท่านั้น จำเลยและบริวารไม่ได้สร้างสิ่งกีดขวางหรือรบกวนสิทธิของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องก็สูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ ทั้ง สิบเอ็ด อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ทั้ง สิบเอ็ด ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อที่สองที่ต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยมีว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่เห็นว่าฝ่ายโจทก์มีนายปิติเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 24073 เดิมเบิกความยืนยันว่า ได้อุทิศที่ดินในโฉนดดังกล่าวบางส่วนให้เป็นทางสาธารณะเพื่อให้ประชาชนในหมู่บ้านบุญสูงใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนวิภาวดีรังสิต และโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 8 ถึงที่ 10ตลอดจนนายอรัญและนายชลิตซึ่งอยู่ในหมู่บ้านบุญสูงก็เบิกความยืนยันว่า ได้ใช้ทางพิพาทนั้นตลอดมาเป็นเวลากว่า 20 ปี แล้วไม่ปรากฎว่าผู้รับโอนต่อ ๆ มาได้หวงห้าม จึงฟังได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ
ปัญหาข้อที่สามที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดมีว่าโจทก์ทั้งสิบเอ็ดมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นเจ้าของที่ดิน และมีบ้านในที่ดินซึ่งอยู่ในหมู่บ้านบุญสูงต้องใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนวิภาวดีรังสิตเป็นประจำไม่มีทางเลือกอื่น หากปิดกั้นทางพิพาทเสีย โจทก์ทั้งสิบเอ็ดย่อมได้รับความเสียหายโดยตรง ดังนั้น การที่จำเลยและบริวารรุกล้ำทางสาธารณะพิพาททำให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ได้รับความสะดวกในการใช้ทางสาธารณะพิพาทเหมือนเดิมในการเข้าออกที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โจทก์ทั้งสิบเอ็ดก็ย่อมจะเป็นผู้ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจากการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ยิ่งกว่าประชาชนอื่นที่มิได้อยู่ในหมู่บ้านบุญสูง โจทก์ทั้งสิบเอ็ดจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้รุกล้ำทางสาธารณะได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดฟังขึ้น
สำหรับประเด็นค่าเสียหายนั้น เนื่องจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยไว้ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างวินิจฉัยอีก ในปัญหาข้อนี้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดคงมีเพียงนายอรัญและโจทก์ที่ 1 เบิกความพาดพิงถึงค่าเสียหายไว้เพียงว่า โจทก์ทั้งสิบเอ็ดขอคิดค่าเสียหายวันละ 200 บาทโดยใช้วิธีประเมินเอา ดังนี้ จึงมิใช่ความเสียหายตามความเป็นจริงแต่เป็นค่าเสียหายที่ศาลต้องวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ศาลจึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดวันละ 10 บาท”
พิพากษากลับเป็นว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะมีความกว้าง10 เมตร เป็นแนวยาวจากถนนวิภาวดีรังสิตผ่านที่ดินโฉนดที่ 24073ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ไปจดทางเข้าหมู่บ้านบุญสูง ตามที่ปรากฎในภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.5ภาพที่ 4 ให้จำเลยรื้ออาคารและเต็นท์ที่สร้างรุกล้ำทางสาธารณะพิพาทและขนย้ายสิ่งของที่วางกีดขวางทางสาธารณะพิพาทออกไป แล้วทำทางสาธารณะพิพาทให้คืนสภาพเดิมเป็นทางลาดยางให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดสามารถใช้ได้ดังเดิม กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดวันละ 10 บาท นับแต่วันครบกำหนดคำบังคับตามคำพิพากษาตามที่โจทก์ขอมาจนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วน คำขออื่นให้ยก

Share