คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4366/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำรถยนต์มาขายให้แก่โจทก์ทั้งสองเท่ากับว่าจำเลยผู้ขายได้รับรองโดยปริยายแก่โจทก์ทั้งสองว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่นำมาขายเมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่มีและไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ให้แก่โจทก์ทั้งสองได้จึงเป็นการผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ทั้งสองเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายเนื่องจากต้องชำระเงินคืนให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยได้หาใช่การฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิอันมีอายุความ3เดือนตามมาตรา481แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่การฟ้องคดีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไป10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิม(มาตรา193/30ที่ตรวจชำระใหม่)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขายรถยนต์ให้โจทก์ทั้งสองในราคา224,000 บาท และจำเลยได้รับเงินไปแล้ว โจทก์ที่ 2 นำรถดังกล่าวไปขายให้นายศิวา สระตันติ์ และนายศิวานำไปขายต่อให้นายสว่าง วงศ์เทียนขาย แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนลงชื่อนายสว่างเป็นเจ้าของรถได้เนื่องจากมีผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า รถยนต์ที่ซื้อเป็นรถยนต์ที่ถูกยักยอกมาและได้ติดตามเอารถยนต์คืนไปแล้ว นายศิวาและห้างหุ้นส่วนจำกัดเอส.เอส.พี.ซัพพลายส์แอนด์คอนสตรัคชั่น (ที่ถูกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดเอส.เอส.พี. ซัพพลายส์แอนด์คอนสตรัคชั่น) ในฐานะผู้เสียหายได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 8579/2532ของศาลชั้นต้น และโจทก์ที่ 2 ได้ชำระเงินจำนวน 240,000 บาทให้แก่ผู้เสียหายไปแล้ว ขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน 251,250 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองตกลงรับซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยตามสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด จำเลยได้ส่งมอบรถยนต์และสมุดจดทะเบียนพร้อมใบโอนให้แก่โจทก์ครบถ้วนตามข้อตกลงแล้วจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 224,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 มกราคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จ โดยดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน11,250 บาท ตามที่โจทก์ขอ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 481 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองไม่ได้ถูกรอนสิทธิ แต่ผู้ที่ซื้อรถยนต์ต่อไปจากโจทก์ทั้งสองถูกรอนสิทธิ โดยผู้ซื้อคนสุดท้ายคือนายสว่างวงศ์เทียนชัย ถูกบุคคลภายนอกรอนสิทธิซึ่งนายสว่างได้นำรถยนต์ไปคืนและขอรับเงินคืนจากนายศิวา สระตันติ์ ผู้ที่ซื้อรถยนต์ต่อไปจากโจทก์ทั้งสอง เมื่อโจทก์ทั้งสองตกลงกับนายศิวาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว การตกลงดังกล่าวจึงเป็นการปฎิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ผูกพันกันเท่านั้น กรณีจึงไม่อาจบังคับตามอายุความการรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481 บัญญัติว่า”ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิมหรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอกหรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันคำพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุดหรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความหรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น”ตามคำฟ้องของโจทก์ได้ความว่า นายสว่างผู้ซื้อคนสุดท้ายถูกเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินการอายัดรถยนต์คันดังกล่าวไว้เพราะมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ว่ารถยนต์คันดังกล่าวถูกยักยอกและเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงก็ได้ติดตามเอารถยนต์คันดังกล่าวคืนไปแล้วต่อมานายศิวาผู้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์และห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.เอส.พี ซัพพลายส์แอนด์คอนสตรัคชั่นในฐานะผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 8579/2532 ของศาลชั้นต้น และโจทก์ทั้งสองได้ชำระเงินจำนวน240,000 บาท ให้แก่นายศิวากับพวกเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ การที่จำเลยนำรถยนต์คันดังกล่าวมาขายให้แก่โจทก์ทั้งสองเท่ากับว่าจำเลยผู้ขายได้รับรองโดยปริยายแก่โจทก์ทั้งสองว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่นำมาขาย เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่มีและไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้นให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ จึงเป็นการผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ทั้งสอง เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายเนื่องจากโจทก์ทั้งสองต้องชำระเงินจำนวน 240,000 บาท คืนให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยได้ หาใช่การฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิอันมีอายุความ 3 เดือนตามมาตรา 481 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ การฟ้องคดีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไป 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิมเมื่อปรากฎว่าโจทก์ทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 8579/2532 หมายเลขแดงที่ 22436/2532 ของศาลชั้นต้นยอมชำระเงินจำนวน 240,000 บาท ภายใน 15 วัน ให้แก่นายศิวาและห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.เอส.พี. ซัพพลายส์แอนด์คอนสตรัคชั่นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2532 และฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 กันยายน2533 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์ทั้งสองจึงยังไม่ขาดอายุความที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

Share