คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3945/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายขอให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้วคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยยอมขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังนี้ผู้ร้องทั้งสามจะเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ก็ตามเมื่อผู้ร้องทั้งสามมิได้ถูกฟ้องและมิได้ตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยโจทก์ย่อมไม่อาจอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมมาบังคับแก่ผู้ร้องทั้งสามกรณีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(1)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาจะซื้อจะขาย จำเลยได้ผิดสัญญาจะซื้อจะขายจึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างภายในวันที่ 21 ตุลาคม2535 ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด
ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2535 โจทก์ยื่นคำร้องขอว่าจำเลยไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี วันที่ 17 ธันวาคม 2535ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่ใช่บริวารของจำเลย จำเลยไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินและบ้าน ขอให้งดการบังคับคดีและยกคำร้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสามไม่ใช่เป็นเรื่องร้องขัดทรัพย์และไม่ใช่ฟ้องเรื่องแสดงอำนาจพิเศษตามมาตรา 142(1) ไม่มีเหตุที่จะให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 ไม่จำต้องไต่สวนให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้อง ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
ผู้ร้อง ทั้ง สาม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายขอให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้วคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยยอมขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กรณีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) เพราะผู้ร้องทั้งสามมิได้ถูกฟ้องและมิได้ตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย ผู้ร้องทั้งสามจะเป็นบริวารจำเลยหรือไม่ก็ตาม โจทก์ย่อมไม่อาจอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมคดีนี้มาบังคับแก่ผู้ร้องทั้งสามได้ประกอบกับคำร้องของผู้ร้องทั้งสามก็กล่าวอ้างว่าจะดำเนินคดีขอเพิกถอนนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยต่อไป จึงไม่มีเหตุที่จะต้องทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้งสามที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสามชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share