แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลังจากวันเกิดเหตุที่เด็กหญิง ว. โจทก์ร่วมเบิกความอ้างว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา โจทก์ร่วมมิได้แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยแต่ประการใด ตรงกันข้าม ส. ภริยาจำเลยกลับแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้านต้องการให้ปรับไหมโจทก์ร่วมและมารดา อ้างว่าโจทก์ร่วมไปจับอวัยวะเพศจำเลย โจทก์ร่วมและมารดาจึงแจ้งความกลับหาว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา คำเบิกความและคำให้การชั้นสอบสวนของโจทก์ร่วมจึงเป็นคำเบิกความและคำให้การที่เกิดจากเงื่อนไขว่าหากภริยาจำเลยไม่เอาเรื่องโจทก์ร่วมกับมารดา โจทก์ร่วมกับมารดาก็จะไม่เอาเรื่องจำเลย และเพราะเหตุภริยาจำเลยกล่าวหาโจทก์ร่วมกับมารดา โจทก์ร่วมกับมารดาจึงจำเป็นต้องใช้คดีนี้เป็นการแก้เกี้ยว คำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ใช้เพื่อต่อรองมิให้ตนกับมารดาถูกดำเนินคดีดังกล่าว จึงเป็นคำเบิกความที่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบริสุทธิ์ และมีมูลเหตุจูงใจเพื่อให้ตนเองกับมารดาพ้นผิด คำเบิกความของโจทก์ร่วมจึงเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจากการจูงใจเป็นการมิชอบ ย่อมรับฟังไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 309
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาเด็กหญิง ว. ผู้เสียหาย โดยนาง บ. ผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 309 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยใช้อาวุธ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีเด็กหญิง ว. โจทก์ร่วมเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุโจทก์ร่วมนำโคไปเลี้ยงที่ทุ่งนา เวลาประมาณ 11 นาฬิกา จำเลยถือมีดเข้ามาแล้วล็อกคอโจทก์ร่วม จำเลยบอกให้โจทก์ร่วมนอนลงแล้วถอดเสื้อผ้าออก โจทก์ร่วมปฏิบัติตาม แล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมเสร็จแล้วจำเลยสั่งห้ามมิให้นำเรื่องไปบอกใคร มิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย หลังเกิดเหตุภริยาจำเลยมาต่อว่ามารดาโจทก์ร่วมกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมไปจับอวัยวะเพศจำเลย มารดาโจทก์ร่วมจึงสอบถามโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง แล้วโจทก์ร่วมตอบทนายจำเลยถามค้านว่า หากมารดาโจทก์ร่วมไม่ได้มาสอบถามโจทก์ร่วมเรื่องที่ภริยาจำเลยมากล่าวหาโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมก็จะไม่เล่าเรื่องให้มารดาฟัง มารดาโจทก์ร่วมโมโหที่ภริยาจำเลยมาต่อว่าจึงคาดคั้นโจทก์ร่วมว่ามีอะไรกันกับจำเลยหรือไม่ ซึ่งในตอนแรกโจทก์ร่วมปฏิเสธว่าไม่มีอะไรกัน แต่พอมารดาโจทก์ร่วมบอกว่าหากโจทก์ร่วมไม่เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ภริยาจำเลยจะพามารดาโจทก์ร่วมไปปรับที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน โจทก์ร่วมจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง เหตุที่โจทก์ร่วมเล่าเหตุการณ์ให้มารดาฟังก็เนื่องจากโจทก์ร่วมเกรงว่ามารดาโจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมจะมีความผิด ในวันที่ไปคุยกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้านภริยาจำเลยกล่าวหาโจทก์ร่วมว่าไปจับอวัยวะเพศของจำเลย ซึ่งโจทก์ร่วมและมารดาก็โต้แย้งว่าจำเลยข่มขืนโจทก์ร่วม หากทางภริยาจำเลยไม่เอาเรื่องกับโจทก์ร่วมและมารดา โจทก์ร่วมและมารดาก็จะไม่เอาเรื่องกับจำเลย โจทก์ร่วมเล่าเหตุการณ์ที่จำเลยข่มขืนโจทก์ร่วมที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเนื่องจากจะใช้เป็นข้อต่อรองกรณีที่ภริยาจำเลยกล่าวหาโจทก์ร่วมและต้องการจะปรับมารดาโจทก์ร่วม นอกจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมดังกล่าวแล้ว นายดวงจันทร์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 9 ซึ่งเป็นพยานจำเลยเบิกความว่า นางสุขซึ่งเป็นภริยาจำเลยมาแจ้งพยาน ว่าโจทก์ร่วมไปจับอวัยวะเพศจำเลย นางสุขต้องการให้ปรับไหมโจทก์ร่วม ต่อมาอีก 2 วัน นาง บ. ซึ่งเป็นมารดาโจทก์ร่วมมาแจ้งพยานว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมข่มขู่โจทก์ร่วม แต่ไม่ได้กล่าวหาว่าจำเลยข่มขืน พยานจึงจัดให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน ระหว่างที่มีการเจรจากันนั้นเกิดการโต้เถียงกันเสียงดังจึงไม่สามารถตกลงกันได้ หลังจากวันดังกล่าวพยานจึงทราบว่าโจทก์ร่วมกล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา และนายดวงจันทร์ยังเบิกความตอบทนายจำเลยถามติงว่า ในขณะที่นาง บ. มาแจ้งความครั้งแรกนั้นพยานจดบันทึกไว้ด้วย โดยนาง บ. แจ้งว่าจำเลยใช้มีดข่มขู่โจทก์ร่วม แต่ไม่ได้แจ้งว่าจำเลยข่มขืนโจทก์ร่วมด้วย นาง บ. และโจทก์ร่วมมาแจ้งว่าจำเลยข่มขืนโจทก์ร่วม หลังจากที่มีการตกลงที่บ้านพยานประมาณ 3 วัน พยานแนะนำให้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน เห็นว่า หลังเกิดเหตุโจทก์ร่วมมิได้แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยแต่ประการใด ตรงกันข้ามภริยาจำเลยกลับแจ้งความต้องการให้ปรับไหมโจทก์ร่วมและมารดา โจทก์ร่วมและมารดาจึงแจ้งความกลับกล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา คำเบิกความของโจทก์ร่วมจึงเป็นคำเบิกความที่เกิดจากเงื่อนไขที่ว่าหากภริยาจำเลยไม่เอาเรื่องโจทก์ร่วมกับมารดา โจทก์ร่วมกับมารดาก็จะไม่เอาเรื่องจำเลย การที่ภริยาจำเลยกล่าวหาโจทก์ร่วมและมารดา โจทก์ร่วมและมารดาจึงจำเป็นต้องใช้คดีนี้เป็นการแก้เกี้ยว ในกรณีที่ภริยาจำเลยกล่าวหาโจทก์ร่วม คำเบิกความของโจทก์ร่วมรวมทั้งคำให้การในชั้นสอบสวนจึงเป็นคำเบิกความและคำให้การโดยมีเงื่อนไข กล่าวคือถ้าภริยาจำเลยไม่ดำเนินคดีโจทก์ร่วมกับมารดา โจทก์ร่วมและมารดาก็จะไม่แจ้งความและเบิกความดำเนินคดีจำเลยเช่นกัน ทั้งยังเป็นคำเบิกความเพื่อใช้ในการต่อรองมิให้ดำเนินคดีโจทก์ร่วม คำเบิกความของโจทก์ร่วมจึงเป็นคำเบิกความที่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบริสุทธิ์ แต่เป็นคำเบิกความที่เกิดขึ้นจากมูลเหตุจูงใจเพื่อให้ตนและมารดาไม่ถูกดำเนินคดี และมีมูลเหตุจูงใจเพื่อให้ตนเองและมารดาพ้นผิด คำเบิกความของโจทก์ร่วมจึงเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจากการจูงใจเป็นการมิชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ย่อมรับฟังเป็นพยานไม่ได้เมื่อพยานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีผู้ใดรู้ห็นเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่อาจฟังลงโทษจำเลยได้ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์