แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสามและคำขอท้ายฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แม้ว่าถ้ามีการเพิกถอนตามคำขอดังกล่าวแล้วจะมีผลทำให้โจทก์ทั้งสามหรือจำเลยที่3ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และที่ดินดังกล่าวมีราคาไม่เกิน50,000บาทก็ตามก็ต้องถือว่าคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและคำขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นคำขอประธานส่วนที่โจทก์ทั้งสามจะได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือจำเลยที่3จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นผลต่อเนื่องที่ตามมาจึงไม่ต้องห้ามจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทกรมสังกัดกระทรวงการคลังมีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินของราชพัสดุและเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทกระทรวง มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินราชพัสดุทั้งหมดในประเทศไทยและเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1และที่ 2 โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่2487 เล่ม 25 ข. หน้า 37 เลขที่ดิน 319 หมายเลข 5443ตั้งอยู่ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานีเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา โดยได้ที่ดินดังกล่าวมาจากการรื้อร้างถางพงร่วมกับนายบุญ โพธิจินดา สามีของโจทก์ที่ 1ตั้งแต่ปี 2496 ปรากฏหลักฐานตามภาพถ่ายแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ท้ายฟ้อง ต่อมาสามีโจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรมโจทก์ที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมา เมื่อปี 2521โจทก์ที่ 1 ขายที่ดินดังกล่าวบางส่วนให้แก่นายตื้อ ศรียางคะบุตรเนื้อที่ 1 งาน 33 ตารางวา ตาม น.ส.3 ก. หมายเลขทะเบียน 2668เล่ม 27 ข. หน้า 18 ต่อมานายตื้อขายต่อให้แก่นายบุญสม สุรทรัพย์เมื่อปี 2522 และนายบุญสมขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 2โจทก์ที่ 2 ครอบครองตลอดมาจนถึงวันฟ้อง เมื่อปี 2524 โจทก์ที่ 1แบ่งขายที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ 46 ตารางวา ให้แก่โจทก์ที่ 3โจทก์ที่ 3 ครอบครองตลอดมาจนถึงวันฟ้อง เมื่อกลางปี 2530จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทั้งสามทราบว่าที่ดินที่โจทก์ทั้งสามครอบครองเป็นที่ดินของราชพัสดุ จำเลยที่ 1 แจ้งไปยังสำนักงานที่ดินอำเภอหนองบัวลำภู ห้ามมิให้โจทก์ทั้งสามกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับนิติกรรมในที่ดินดังกล่าว และมีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินดังกล่าวเป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่ 3917/2515 เลขที่ 4 ระวาง ตำบลหนองบัวแผ่นที่ 16 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งานเศษเจ็ดส่วนสิบวา โจทก์ทั้งสามบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับดังกล่าวในส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสาม แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ที่ 1 มีสิทธิครอบครองในที่ดิน น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 2487 เล่ม 25 ข. หน้า 37เลขที่ดิน 319 เนื้อที่ 1 ไร่ 81 ตารางวา โจทก์ที่ 2 มีสิทธิครอบครองในที่ดิน น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 2668 เล่ม 27 ข.หน้า 18 เนื้อที่ 1 งาน 33 ตารางวา และโจทก์ที่ 3 มีสิทธิครอบครองในที่ดิน น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 3838 เล่ม 39 ก.หน้า 38 เลขที่ดิน 511 เนื้อที่ 46 ตารางวา ที่ดินโจทก์ทั้งสามตั้งอยู่ตำบลลำภู (หนองบัว) อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานีให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่ 3917/2515 เลขที่ 4 ระวางตำบลหนองบัวลำภูแผ่นที่ 16 ในส่วนซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งสามเนื้อที่ 1 ไร่2 งาน 60 ตารางวา ที่เป็นของโจทก์ทั้งสาม ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามเพื่อจดทะเบียนเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 1 มิใช่เจ้าของและไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2487 การขอออก น.ส.3 ก. ที่ดินดังกล่าวมิได้อาศัยแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 10 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ดังที่อ้างแต่เป็นการขอออกโดยไม่มีหลักฐานสำหรับที่ดินทับที่ของราชพัสดุของจำเลยที่ 3 ซึ่งมีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่ 3917/2515 หนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฉบับเลขที่ 2668 และเลขที่ 3838นั้นแบ่งแยกมาจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่2487 ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งออกมาโดยไม่ชอบดังกล่าว โจทก์ที่ 2และที่ 3 จึงมิใช่เจ้าของและไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 1 ไม่เคยแจ้งให้โจทก์ทั้งสามทราบว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสามเป็นที่ราชพัสดุและไม่เคยแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอหนองบัวลำภ4 ห้ามโจทก์ทั้งสามทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน จำเลยทั้งสามไม่ได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่ 3917/2515 ทับที่ของโจทก์ทั้งสาม แต่หนังสือสำคัญฉบับดังกล่าวเจ้าพนักงานได้ออกก่อนโจทก์ทั้งสามจะครอบครองและออกก่อนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของโจทก์ทั้งสามกรณียังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม และพิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นของจำเลยที่ 3 และมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2487 เลขที่ 2668 และเลขที่ 3838 ให้โจทก์ทั้งสามและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ทั้งสามให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.)เลขที่ 2487 การขอออก น.ส.3 ก. ในที่ดินดังกล่าวเป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ที่ 1 ครอบครองที่ดินดังกล่าวตั้งแต่ปี 2496 ซึ่งโจทก์ที่ 1 แจ้ง ส.ค.1 ไว้เป็นหลักฐานต่อมาปี 2520 โจทก์ที่ 1 ได้อาศัยสิทธิดังกล่าวขอออก น.ส.3 ก.โจทก์ที่ 1 จึงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยชอบ หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่ 3917/2515 ของจำเลยที่ 3 นั้นออกทับที่ดินของโจทก์ทั้งสามเพราะโจทก์ที่ 1 ครอบครองที่ดินมาตั้งแต่ปี 2496 ติดต่อกันมาตลอดจนถึงวันให้การแก้ฟ้องแย้ง จำเลยที่ 3ออกหนังสือดังกล่าวเมื่อปี 2515 หลังจากที่โจทก์ที่ 1 ครอบครองแล้วการออกหนังสือดังกล่าวจึงไม่ชอบ จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิหรือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ก่อนฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและตัวแทนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เคยแจ้งให้โจทก์ทั้งสามทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุและแจ้งให้พนักงานที่ดินอำเภอหนองบัวลำภูห้ามโจทก์ทั้งสามทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว โจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้อง ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3 ขาดอายุความเพราะโจทก์ที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2496 จนถึงวันให้การแก้ฟ้องแย้งโดยสงบ เปิดเผยและแสดงตนเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ที่ 1 มีสิทธิครอบครองที่ดินน.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 2487 เล่ม 27 ข. หน้า 37 เลขที่ดิน 319เนื้อที่ 1 ไร่ 81 ตารางวา โจทก์ที่ 2 มีสิทธิครอบครองที่ดินน.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 2668 เล่ม 27 ข. หน้า 18 เนื้อที่ 1 งาน33 ตารางวา โจทก์ที่ 3 มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส.3 ก.ทะเบียนเลขที่ 3838 หน้า 39 ก. หน้า 38 เลขที่ดิน 511เนื้อที่ 46 ตารางวา ที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ตำบลลำภู(หนองบัว)อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ฉบับที่ 3917/2515เลขที่ 4 ระวางตำบลหนองบัวลำภู แผ่นที่ 16 ในส่วนซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ทั้งสาม เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวาหากจำเลยทั้งสามไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามเพื่อจดทะเบียนเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงในส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสาม
จำเลย ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายก อุทธรณ์ จำเลย ทั้ง สาม
จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสามขอให้สั่งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทกับขอให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่ 3917/2515 คำฟ้องดังกล่าวจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกัน แม้คำขอในส่วนคดีมีทุนทรัพย์จะมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ก็ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งหมายถึงในคดีนั้นต้องเป็นคดีมีทุนทรัพย์อย่างเดียวนั้น เห็นว่าคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสามและคำขอท้ายฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แม้ว่าถ้ามีการเพิกถอนตามคำขอดังกล่าวแล้วจะมีผลทำให้โจทก์ทั้งสามหรือจำเลยที่ 3 ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท อันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ และที่ดินดังกล่าวมีราคาไม่เกิน 50,000 บาท ก็ตาม ก็ต้องถือว่าคำขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงและคำขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นคำขอประธาน ส่วนที่โจทก์ทั้งสามจะได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือจำเลยที่ 3 จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นผลต่อเนื่องที่ตามมา จึงไม่ต้องห้ามจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีและรวมสั่งค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาด้วย