คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 983/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ให้โจทก์แต่จำเลยให้การแต่เพียงว่าจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ไม่เคยรู้จักและไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับโจทก์มาก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริตโดยไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ว่าเป็นเพราะเหตุใดรวมทั้งไม่ได้ปฏิเสธว่าเช็คพิพาทไม่ใช่เป็นเช็คของจำเลยหรือจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทคำให้การจำเลยจึงเป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งรวมทั้งไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจึงต้องถือว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินแก่ผู้ถือเมื่อโจทก์เป็นผู้ถือจึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายมีอำนาจฟ้องและจำเลยต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2536 จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 3 ฉบับ ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2536 ทั้ง 3 ฉบับฉบับแรกเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาถนนตะนาว จำนวนเงิน100,000 บาท ฉบับที่ 2 และที่ 3 เป็นเช็คธนาคารกรุงเทพจำกัดสาขาบางกะปิ จำนวนเงิน ฉบับละ 50,000 บาท เพื่อเป็นการชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คทั้งสามฉบับโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อถึงกำหนดโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสามฉบับโจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ยอมชำระ โจทก์เสียหายคิดเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีถึงวันฟ้องเป็นเงิน 8,750 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน208,750 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน200,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายโดยแจ้งชัดที่สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับที่เป็นข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น อีกทั้งรายละเอียดในฟ้องให้เพียงพอที่จะทำให้จำเลยสามารถเข้าใจข้อหาได้ดีและต่อสู้ในคดีได้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยไม่เคยมอบเช็คพิพาทให้โจทก์และไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ ไม่เคยรู้จักกับโจทก์ทั้งไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์มาก่อน ก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยมีหนังสือบอกกล่าวทวงถาม และเช็คพิพาทตามฟ้องขาดอายุความแล้วเพราะโจทก์ประทับวันเดือนปีในเช็คพิพาทขึ้นเองในภายหลัง โดยเจตนาไม่สุจริตขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 208,750 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 3 มิถุนายน 2537) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่งดชี้สองสถานและงดสืบพยานชอบหรือไม่ เห็นว่า คำให้การของจำเลยบางประเด็นไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งจึงไม่มีประเด็นจะนำสืบ และประเด็นที่เหลือจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งจึงต้องถือว่าจำเลยรับข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวเช่นนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการต่อมามีว่า จำเลยต้องรับผิดตามเช็คพิพาทหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธฟ้องโดยแจ้งชัดแล้วว่าเช็คพิพาททั้งสามฉบับปราศจากมูลหนี้อันชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ให้โจทก์ แต่จำเลยให้การแต่เพียงว่าจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ไม่เคยรู้จักและไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์มาก่อน โจทก์ฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต โดยไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ว่าเป็นเพราะเหตุใด รวมทั้งไม่ได้ปฏิเสธว่าเช็คพิพาทไม่ใช่เป็นเช็คของจำเลยหรือจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาท คำให้การจำเลยจึงเป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งรวมทั้งไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงต้องถือว่าจำเลยยอมรับว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาท และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินแก่ผู้ถือ เมื่อโจทก์เป็นผู้ถือโจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายมีอำนาจฟ้องและจำเลยต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค เช็คพิพาทลงวันที่เรียกเก็บเงินแน่นอน เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดโดยไม่ต้องทวงถามจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน

Share