คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6849/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อกรมที่ดินจำเลยที่4จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในการเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดของจำเลยที่1ซึ่งหากไม่อาจเพิกถอนได้ผู้ที่จะใช้ราคาที่ดินคือจำเลยที่1ส่วนจำเลยที่2และที่3มิได้ถูกพิพากษาให้ต้องรับผิดเมื่อเป็นเช่นนี้ในการรังวัดที่ดินของจำเลยที่2ซึ่งเป็นพนักงานรังวัดที่ดินและการเสนอความเห็นของจำเลยที่3ซึ่งเป็นหัวหน้าหมวดรังวัดที่ดินต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินไม่ว่าโจทก์จะได้ไปชี้แนวเขตหรือไม่และจำเลยที่2และที่3ได้กระทำตามระเบียบว่าด้วยการรังวัดหรือไม่ก็ตามในเมื่อมีการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินเป็นเหตุให้จำเลยที่1ได้รับที่ดินเพิ่มขึ้นและทำให้ที่ดินพิพาทของโจทก์ตกเป็นของจำเลยที่1การจดทะเบียนที่ได้ทำไปจึงเป็นการไม่ชอบจำเลยที่4ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการจดทะเบียนในโฉนดที่ดินจึงมีหน้าที่ที่จะต้องเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้องศาลจึงพิพากษาบังคับให้จำเลยที่4ทำการเพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าวได้และไม่ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ได้นำชึ้แนวเขตที่ดินหรือไม่และจำเลยที่2และที่3ได้กระทำตามระเบียบว่าด้วยการรังวัดหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 2493เนื้อที่จำนวน 77 ไร่ 3 งาน 56 วา ซึ่งต่อมาเมื่อปี 2523โจทก์ได้แบ่งขายไปจำนวน 800 วา จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 2494 เนื้อที่จำนวน 33 ไร่ 3 งาน24 วา จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขณะเกิดเหตุเป็นข้าราชการใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งพนักงานรังวัดที่ดินสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครเขตบางเขน ส่วนจำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดรังวัดที่ดิน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 4 เป็นหน่วยราชการ สังกัดกระทรวงมหาดไทยมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยมีนายศิริ เกวลินสฤษดิ์เป็นอธิบดีกรมที่ดินเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 และที่ 3เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2512 จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดที่ 2494 ของจำเลยที่ 1 ต่อสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เขตบางเขน เจ้าพนักงานที่ดินผู้มีอำนาจสั่งการให้จำเลยที่ 2 ไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งติดกับที่ดินโฉนดที่ 2493 ของโจทก์ในการนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับทุจริตเบียดบังที่ดินของโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ทำการนำชี้และจำเลยที่ 2ทำการปักหลักเขตรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่จำนวน 14 ไร่ 2 งาน 14 วา ดังรูปแผนที่หลังโฉนดของโจทก์และของจำเลยที่ 1 เดิม และส่วนที่นำชี้และปักหลักเขตรุกล้ำเอกสารท้ายฟ้อง จากนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันทำหลักฐานเท็จและรายงานเท็จเสนอต่อหัวหน้างานที่เกี่ยวข้องว่าโจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินทางทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่เคยลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตแต่อย่างใด เรื่องเท็จได้เสนอจนถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งการจดทะเบียนแก้ไขรังวัดสอบเขตที่ดิน จำเลยที่ 3 โดยเจตนาทุจริตหรือกระทำด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายโดยจำเลยที่ 3 สั่งการให้จดทะเบียนแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินเพิ่มขึ้นได้ ทั้ง ๆ ที่ปรากฏชัดว่าที่ดินของจำเลยที่ 1 เพิ่มมากกว่าเดิมถึง 9 ไร่ 69 วา เป็น42 ไร่ 3 งาน 93 วา ผิดไปจากเกณฑ์เฉลี่ยตามระเบียบและกฎหมายมากและเห็นได้ชัดเจนว่ารูปแผนที่ของโจทก์ด้านติดกับจำเลยที่ 1 เปลี่ยนแปลงและขาดหายกลายเป็นของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 3หาเรียกโจทก์ไปสอบสวนข้อเท็จจริงไม่ เป็นเหตุให้ต่อมาได้มีการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่ดินลงในโฉนดของจำเลยที่ 1 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2519 ครั้นปี 2523 โจทก์ได้ยื่นรังวัดขอสอบเขตที่ดินของโจทก์จึงทราบว่าถูกจำเลยที่ 1 ชี้ปักหลักเขตที่ดินบุกรุกเข้ามาในที่ดินของโจทก์ดังกล่าว โจทก์จึงขอให้อายัดและให้เพิกถอนการจดทะเบียนรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 เสียแต่เจ้าพนักงานที่ดินให้โจทก์ไปดำเนินการทางศาลโจทก์ติดต่อกับจำเลยที่ 1 ให้จัดการเพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินหรือให้ใช้ราคาแทน จำเลยที่ 1 เพิกเฉยเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ที่ดินของโจทก์ขาดหายไปจำนวนดังกล่าวคิดเป็นเงินจำนวน 12,000,000 บาทจำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และหรือจำเลยที่ 4 จัดการเพิกถอนการรังวัดสอบเขตที่ดินตามคำขอสอบเขตที่ดินฉบับลงวันที่ 3 มิถุนายน 2512และให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 3 ลงวันที่30 ธันวาคม 2514 ที่สั่งให้แก้รูปแผนที่และเนื้อที่ดินในการจดทะเบียนแก้ไขรูปแผนที่และจำนวนเนื้อที่ดินของเจ้าพนักงานที่ดินลงในโฉนดที่ 2494เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2519 ของจำเลยที่ 1 เสียรวมทั้งเพิกถอนการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 2494ออกเป็นแปลงย่อย ๆ ของจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นต่อไปด้วยให้จำเลยที่ 1 และบริวารออกไปจากที่ดินในส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินโฉนดที่ 2493 ของโจทก์ หากการเพิกถอนตามคำขอดังกล่าวข้างต้นของโจทก์ไม่สามารถเพิกถอนได้ด้วยเหตุใด ๆ และหรือหากการเพิกถอนดังกล่าวไม่อาจทำให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ราคาที่ดินให้โจทก์แทนเป็นเงินจำนวน 12,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยเจ็ดครึ่งต่อปีของราคาที่ดิน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และครอบครองที่ดินโฉนดที่ 2494 มาตั้งแต่ปี 2463 เต็มจำนวนพื้นที่ดังที่ได้ทำการรังวัดสอบเขตในปี 2512 ซึ่งการรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 นั้นได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมาย มีการส่งหมายเรียกแจ้งให้โจทก์และเจ้าของที่ดินข้างเคียงแปลงอื่น ๆ ไปทำการชึ้ตำแหน่งที่ดินและระวังแนวเขตที่ดิน ซึ่งโจทก์ได้รับแจ้งและไประวังแนวเขต ได้รับรองต่อพนักงานรังวัดว่าการชี้ตำแหน่งที่ดินของจำเลยที่ 1 ถูกต้องแล้ว และโจทก์ได้ลงลายพิมพ์นิ้วมือรับรองความถูกต้องในเอกสารรังวัดที่ดินของพนักงานรังวัดด้วย ทั้งจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินเต็มเนื้อที่ที่รังวัดมาตั้งแต่ปี 2512 จำเลยที่ 1 ย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยอายุความ โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินความจริง โดยเสียหายไม่เกิน 2,000,000 บาทฟ้องโจทก์เป็นเรื่องละเมิดซึ่งขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า ช่วงเวลาที่มีการรังวัดที่ดินพิพาทตามฟ้องนั้น จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งช่างรังวัดได้ออกไปรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดที่ 2494 ของจำเลยที่ 1 ตามคำขอรังวัดสอบเขตและตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบของกรมที่ดินจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 2 ได้ดำเนินการให้เจ้าพนักงานที่ดินมีหนังสือแจ้งให้เจ้าของที่ดินข้างเคียงทุกรายรวมทั้งโจทก์มาระวังแนวเขต ครั้นวันที่9 มีนาคม 2513 จำเลยที่ 2 ไปทำการรังวัดสอบเขตโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้มาชี้ระวังแนวเขตด้วยตนเอง และลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินด้านที่ติดกับที่ดินของจำเลยที่ 1 ในระหว่างนั้นจำเลยที่ 3 มิได้มีหน้าที่ตามกฎหมายในการสั่งแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินโดยจำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้าช่างรังวัด ตำแหน่งช่างโทมีอำนาจหน้าที่ที่จะควบคุมดูแลงานด้านรังวัด การคำนวณเนื้อที่และเขียนรูปแผนที่เท่านั้น จำเลยที่ 3 เพียงแต่ได้รับเสนอเรื่องการรังวัดสอบเขต คำนวณเนื้อที่เขียนแผนที่ตามที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการมา จำเลยที่ 3ได้ทำการตรวจสอบแล้ว เห็นว่าจำเลยที่ 2 ปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับและกฎหมายจึงทำความเห็นเสนอต่อไปตามลำดับชั้นจนถึงผู้มีอำนาจสั่งแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินคือเจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งในที่สุดเจ้าพนักงานที่ดินได้สั่งให้แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่จากเดิมที่ปรากฏในโฉนดที่ 2494 จำนวน 33 ไร่ 3 งาน24 วา เป็น 42 ไร่ 3 งาน 93 วา ตามที่จำเลยที่ 2ทำการรังวัดสอบเขตคำนวณเนื้อที่ใหม่มาดังกล่าวเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินสั่งแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินแล้วได้ส่งเรื่องผ่านมายังฝ่ายควบคุมงานรังวัดอีกครั้งหนึ่งเพื่อดำเนินการ ฝ่ายควบคุมงานรังวัดได้ส่งเรื่องทั้งหมดไปให้ฝ่ายทะเบียนจัดการแก้ไขเนื้อที่ดินต่อไป จำเลยที่ 3จึงเพียงแต่ลงชื่อส่งเรื่องให้ฝ่ายทะเบียนดำเนินการตามคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินต่อไปเท่านั้น การอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดิน ย่อมเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานที่ดินแต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 2และที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบและกฎหมายโดยสุจริตหาได้มีเจตนาเบียดบังที่ดินของโจทก์ตามฟ้องไม่และโดยเหตุที่โจทก์ลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่จำเลยที่ 3 จะต้องเรียกโจทก์มาสอบถามเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินอีกที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 1 ใช้ระวางรูปแผนที่อย่างเก่าซึ่งออกให้ตั้งแต่ปี 2463 เมื่อมีการรังวัดใหม่ทั้งเขตและเนื้อที่ดินย่อมมีการผิดพลาดเป็นธรรมดาเพราะวิชาการรังวัดในขณะนั้นไม่รัดกุมเท่าปัจจุบันทั้งการครอบครองอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา การรังวัดสอบเขตในปัจจุบันจึงต้องยึดถือการครอบครองของเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงเป็นหลัก ฉะนั้นเมื่อเจ้าของที่ดินผู้ขอรังวัดสอบเขตและเจ้าของที่ดินข้างเคียงนำชี้และรับรองแนวเขตว่าถูกต้อง แม้เขตและเนื้อที่ดินจะผิดไปจากโฉนดเดิมช่างรังวัดและเจ้าพนักงานที่ดินก็ต้องดำเนินการเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องต่อไป ที่ดินของโจทก์ขาดหายไปจำนวน18 ไร่ 1 งาน 32 วา อาจถูกเจ้าของที่ดินข้างเคียงแปลงอื่นนำรังวัดรุกล้ำ นอกจากนี้ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำการขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 2494 ออกเป็นแปลงย่อยอีกหลายแปลง ซึ่งช่างรังวัดได้ออกไปทำการรังวัดแบ่งแยกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2520 โดยดำเนินการแจ้งให้เจ้าของที่ดินข้างเคียงมาระวังแนวเขตซึ่งโจทก์ก็ได้มาชี้ระวังแนวเขตถูกต้องตามที่ได้นำชี้รังวัดไว้เมื่อครั้งก่อนเท่ากับเป็นการยืนยันว่าในการรังวัดครั้งก่อนได้กระทำไปถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับและกฎหมายแล้ว ราคาที่ดินตามสภาพและทำเลไม่เกินไร่ละ 80,000 บาท ค่าเสียหายของโจทก์จึงไม่ควรเกิน 960,000 บาท โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่ปี 2523แต่นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 เพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ของเจ้าพนักงานที่ดินเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2519 ลงในโฉนดที่ 2494 ของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 และบริวารออกไปจากที่ดินในส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินโฉนดที่ 2493 ของโจทก์ตามเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทหมาย จ.13 เป็นจำนวนเนื้อที่14 ไร่ 2 งาน 14 ตารางวา หากการเพิกถอนดังกล่าวไม่อาจทำได้ด้วยเหตุใด ๆ หรือการเพิกถอนไม่อาจทำให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ก็ให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาที่ดินแทนในจำนวนเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 14 ตารางวาโดยตีราคาในส่วนที่ไม่อาจใช้คืนราคาตารางวาละ 1,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(วันที่ 13 พฤศจิกายน 2527) จนกว่าจะใช้เงินเสร็จ และคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ระหว่างการพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นายสมบุญ จันทาบผู้จัดการมรดกของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3ปฏิบัติหน้าที่โดยให้โจทก์นำชี้แนวเขตในการรังวัดตามระเบียบของกรมที่ดินจำเลยที่ 4 เกี่ยวดับวิธีการรังวัด และได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อในหน้าที่ จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ไม่ต้องรับผิดและไม่ต้องเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ให้แก่โจทก์นั้น ฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 มิได้โต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่14 ไร่ 2 งาน 14 ตารางวา เป็นของโจทก์ และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 4 เพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ของเจ้าพนักงานที่ดินเมื่อวันที่11 พฤศจิกายน 2519 ลงในโฉนดที่ 2494 ของจำเลยที่ 1หากการเพิกถอนไม่อาจทำได้ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาที่ดินเห็นว่า เฉพาะจำเลยที่ 4 เท่านั้นที่จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในการเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ 2494 ของจำเลยที่ 1 ถ้าไม่อาจเพิกถอนได้ผู้ที่จะใช้ราคาที่ดินคือจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3มิได้ถูกพิพากษาให้ต้องรับผิดแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้ในการรังวัดที่ดินของจำเลยที่ 2 และการเสนอความเห็นของจำเลยที่ 3 ต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดิน ไม่ว่าโจทก์จะได้ไปชี้แนวเขตหรือไม่และจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำตามระเบียบว่าด้วยการรังวัดหรือไม่ก็ตาม ในเมื่อมีการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1ได้รับที่ดินเพิ่มขึ้นและทำให้ที่ดินพิพาทของโจทก์ตกเป็นของจำเลยที่ 1 การจดทะเบียนที่ได้ทำไปจึงเป็นการไม่ชอบจำเลยที่ 4 ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการจดทะเบียนในโฉนดที่ดินจึงมีหน้าที่ที่จะต้องถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง ศาลจึงพิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 4 ทำการเพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าวได้และไม่ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ได้นำชี้แนวเขตที่ดินหรือไม่ และจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำตามระเบียบว่าด้วยการรังวัดหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน

Share