แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา248วรรคแรกศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์รับประกันภัยรถยนต์จนถึงวันเกิดเหตุรถยนต์คันดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดส. และว. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยว. ทำสัญญาซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ไม่ได้ความว่าพ. ผู้เอาประกันภัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใดทั้งสิ้นพ.จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าวโจทก์ฎีกาว่าตามคำเบิกความพยานโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพ. เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุเป็นผู้มีส่วนได้เสียฎีกาดังกล่าวเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในข้อทีว่าพ. มีส่วนเกี่ยวข้องกับรถคันเกิดเหตุในฐานะผู้เช่าซื้อหรือไม่จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าพ. เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามกฎหมายดังกล่าวศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายเทียนชัย ตงลักขณา ขับรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้โดยประมาทชนรถยนต์ที่รับประกันภัยไว้เสียหายและนายเทียนชัยถึงแก่ความตายในขณะเกิดเหตุ โจทก์ได้จัดการซ่อมรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยแล้วรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายเทียนชัย และจากจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัย แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 112,453 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 107,740 นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน 80 – 7478สระบุรี ซึ่งมีนายเพี้ยน ปิ่นกาญจนนาวี นำมาประกันภัยกับโจทก์นั้น นายเพี้ยนมิได้เป็นเจ้าของหรือมีส่วนได้เสียใด ๆในรถยนต์คันดังกล่าวจึงไม่มีสิทธินำรถยนต์มาประกันภัย หากโจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนไปก็เป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์เองไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 107,740 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2532เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นให้รับผิดไม่เกินจำนวนทรัพย์มรดกของนายเทียนชัย ตงลักขณาผู้ตาย ซึ่งตกได้แก่จำเลยที่ 1
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80 – 7478 สระบุรี จนถึงวันเกิดเหตุ รถยนต์คันดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดสระบุรี อีซูซุ และนางสาวสังวาลย์ สาลี เป็นผู้มีสิทธิครอบครองใช้รถยนต์เพื่อประกอบการขนส่ง โดยนางสาวสังวาลย์ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสระบุรีอีซูซุ ไม่ได้ความว่านายเพี้ยน ปิ่นกาญจนนาวี ผู้เอาประกันภัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใดทั้งสิ้น นายเพี้ยนจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าว โจทก์ฎีกาว่าตามคำเบิกความของนายนิพนธ์ จันทรสมบูรณ์ พยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายเพี้ยนเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุ เป็นผู้มีส่วนได้เสีย เห็นว่า ฎีกาดังกล่าวเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่า นายเพี้ยนมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถคันเกิดเหตุในฐานะผู้เช่าซื้อหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่านายเพี้ยนเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายก ฎีกา โจทก์