แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาจำเลยที่4ที่ว่าศาลไม่ชอบที่จะรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาเพราะโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกันได้บรรยายฟ้องโดยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา10(2)แม้จำเลยที่4มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค1แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยที่4มีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านี้ได้ในชั้นฎีกา โจทก์บรรยายฟ้องว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยหากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสี่ขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบในการบังคับคดีโจทก์ได้นำยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่4ขายทอดตลาดได้เงินชำระหนี้บางส่วนเมื่อหักยอดหนี้แล้วจำเลยทั้งสี่ยังค้างชำระหนี้โจทก์จำเลยทั้งสี่ไม่ชำระคำฟ้องของโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันเพราะในขณะฟ้องคดีโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่ในทางจำนองจำนำหรือสิทธิยึดหน่วงหรือเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทำนองเดียวกับผู้รับจำนำตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา6โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องตามหลักเกณฑ์ของมาตรา10(2) จำเลยที่3และที่4เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่1และที่2ที่จะต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ได้บังคับยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่4ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้เพียงบางส่วนส่วนที่เหลือจำเลยทั้งสี่ย่อมมีหน้าที่ต้องร่วมกันรับผิดชำระแก่โจทก์จนครบซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยคนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้โดยสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนตามแต่จะเลือกก็ได้การที่จะพิจารณาว่าลูกหนี้คนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคนจึงต้องพิจารณาเฉพาะตัวลูกหนี้ร่วมผู้นั้นว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่เท่านั้นไม่เกี่ยวกับลูกหนี้ร่วมคนอื่นเมื่อคดีสำหรับจำเลยที่2ถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ฟังว่าที่ดินของจำเลยที่2กับภรรยาไม่อาจเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้และจำเลยที่2ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะพึงยึดมาชำระหนี้จำเลยที่2จึงเป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเช่นนี้จำเลยที่3และที่4ย่อมไม่อาจฎีกายกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่2ซึ่งคดีถึงที่สุดไปแล้วนั้นโต้เถียงเป็นอย่างอื่นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสี่เป็นลูกหนี้โจทก์ตาม คำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1400/2533 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาให้ร่วมกันรับผิดชำระเงิน 3,657,477.34 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์บังคับคดียึดที่ดินจำนองของจำเลยที่ 4 ขายทอดตลาดได้เงินจำนวน 1,050,000 บาท หักชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสี่ยังคงเป็นหนี้โจทก์เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2534 จำนวน3,460,865.94 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน2,278,020 บาท นับแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2534 ถึงวันฟ้องจำนวน430,873.44 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,891,739.38 บาท จำเลยทั้งสี่ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่โจทก์จะบังคับคดีได้อีกขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์อาจยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1และที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ในส่วนที่เหลือได้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังมีทรัพย์อีกมากและไม่เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งจำเลยที่ 3 ไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวและอาจชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวและจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังมีทรัพย์สินพอที่จะให้โจทก์บังคับคดีนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสี่เด็ดขาด
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า ศาลไม่ชอบที่จะรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา เพราะโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกันได้บรรยายฟ้องโดยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 10 (2) ปัญหาข้อนี้ แม้จำเลยที่ 4 มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 4 มีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านี้ได้ในชั้นฎีกา โจทก์บรรยายฟ้องว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 3,000,000 บาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสี่ขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ ในการบังคับคดีโจทก์ได้นำยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่ 4ขายทอดตลาดได้เงินชำระหนี้บางส่วน เมื่อยอดหนี้แล้วจำเลยทั้งสี่ยังค้างชำระหนี้โจทก์ คิดถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2534 เป็นเงิน3,000,000 บาทเศษ เมื่อรวมดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสี่ยังค้างชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน 3,891,739.38 บาท จำเลยทั้งสี่ไม่ชำระ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้ล้มละลายเป็นคดีนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันเพราะในขณะฟ้องคดีโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่ในทางจำนอง จำนำหรือสิทธิยึดหน่วงหรือเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทำนองเดียวกับผู้รับจำนำตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 6 โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 10(2)
ที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาว่า ยังสามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ มิใช่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว หากโจทก์ยึดที่ดินตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 ของจำเลยที่ 2 มาขายทอดตลาดแล้วก็ยังมีเงินเหลือภายหลังชำระหนี้จำนองเพียงพอชำระหนี้แก่โจทก์ได้ครบถ้วนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 3 และที่ 4 อยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่จะต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ได้บังคับยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่ 4 ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้เพียงบางส่วนส่วนที่เหลือจำเลยทั้งสี่ย่อมมีหน้าที่ต้องร่วมกันรับผิดชำระแก่โจทก์จนครบ ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยคนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้โดยสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนตามแต่จะเลือกก็ได้ การที่จะพิจารณาว่าลูกหนี้คนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคน จึงต้องพิจารณาเฉพาะตัวลูกหนี้ร่วมผู้นั้นว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับลูกหนี้ร่วมคนอื่น ดังนั้น เมื่อคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ฟังว่าที่ดินของจำเลยที่ 2 กับภรรยาตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 ไม่อาจเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ และจำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะพึงยึดมาชำระหนี้จำเลยที่ 2 จึงเป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเช่นนี้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ย่อมไม่อาจฎีกายกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ซึ่งคดีถึงที่สุดไปแล้วนั้นโต้เถียงเป็นอย่างอื่นได้ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย สำหรับปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้หรือไม่ ในทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีทรัพย์สินใดที่จะนำมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้เลย ข้อที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 นำสืบว่า จำเลยที่ 3 มีรายได้จากการค้าขายน้ำมันตามสัญญาดำเนินงานสถานีบริการเอกสารหมายล.3 และ ล.4 มีรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50,000 บาท จำเลยที่ 4รับเหมาก่อสร้างมีรายได้เดือนละ 30,000 บาท นอกจากจำเลยที่ 3และที่ 4 ไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบสนับสนุนแล้ว ยังเป็นรายได้ในอนาคตซึ่งไม่แน่นอน และแม้จำเลยที่ 3 จะมีรายได้จากสถานีบริการน้ำมันก็ปรากฏว่ามิใช่เป็นกิจการส่วนตัวของจำเลยที่ 3หากแต่เป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดฮะเฮง 1991 บริการ ซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 4 ก็เคยถูกโจทก์ยึดที่ดินจำนองขายทอดตลาดได้เงินชำระหนี้เพียงบางส่วนแล้วพยานหลักฐานจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีทรัพย์สินใดที่จะสามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้เลย จึงเป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ล้มละลาย
พิพากษายืน