แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประเด็นสำคัญในคดีแพ่งที่โจทก์ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองซึ่งจะเป็นประเด็นที่ทำให้แพ้หรือชนะคดีนั้นมีอยู่ว่าจำเลยที่1และจำเลยที่2ได้สมคบกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทลงวันที่ย้อนหลังไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่1ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่2ก่อนขายให้โจทก์จริงหรือไม่ถ้าเป็นการทำสัญญาย้อนหลังไปจริงจำเลยทั้งสองก็จะแพ้คดีแพ่งซึ่งเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่าสมคบกันทำนิติกรรมโดยไม่สุจริตอันเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้เพราะในคดีอาญาดังกล่าวถ้าจำเลยทั้งสองสมคบกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทฉบับดังกล่าวโดยเป็นการทำสัญญาย้อนหลังไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่1ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่2ก่อนขายให้โจทก์การกระทำของจำเลยทั้งสองก็อาจจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ได้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา คดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาโกงเจ้าหนี้ศาลวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญไม่ครบองค์ประกอบแห่งความผิดเพราะไม่ได้บรรยายในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำไปโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้และตามคำบรรยายฟ้องการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้โดยมิได้ชี้ขาดว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทลงวันที่ย้อนหลังไปเพื่อแสดงให้จำเลยที่1ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่2ก่อนขายให้โจทก์หรือไม่ในการพิพากษาคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวศาลย่อมมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงในปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทลงวันที่ย้อนหลังหรือไม่ตามที่คู่ความนำสืบได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงจะซื้อที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 292/85จากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 มอบ น.ส.3 ของที่ดินพิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยสมคบกับจำเลยที่ 2ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทลงวันที่ย้อนหลังไปเพื่อให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ก่อนขายให้โจทก์ หลังจากนั้นจำเลยที 2 ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยที่ 1 ยอมโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกใบแทน น.ส. 3 ของที่ดินพิพาทและมีการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกันแล้ว ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้ที่ดินดังกล่าวกลับคืนเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิมให้เพิกถอนใบแทน น.ส.3 ที่ดินดังกล่าว ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี ออกแทนตามฉบับผู้ถือเดิมด้วย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ 1โอนที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ได้ที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนจำเลยที่ 1 ไม่เคยส่งมอบ น.ส.3 ของที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไปเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 292/85หมู่ที่ 7 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ระหว่างจำเลยที่ 1 กันจำเลยที่ 2 เสีย กับให้เพิกถอนใบแทน น.ส.3ที่ดินพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่25 มีนาคม 2529 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1วันที่ 14 ธันวาคม 2530 จำเลยที่ 1 ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ และเจ้าพนักงานที่ดินประกาศการขายไว้มีกำหนด 30 วัน ครบกำหนดจำเลยที่ 1 ไม่ยอมจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ วันที่ 28 มีนาคม 2531 จำเลยที่ 2 ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ตามสัญญาจะซื้อขายลงวันที่ 25 มกราคม 2529 แล้วจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยที่ 1 ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดวันที่ 22 เมษายน 2531 โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ วันที่ 5 ตุลาคม 2531 เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 วันที่ 29 ธันวาคม 2531ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์
พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์คดีนี้ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแขวงชลบุรี ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 266/2532คดีหมายเลขแดงที่ 6395/2532 ในข้อหาโกงเจ้าหนี้ โดยโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันทำนิติกรรมโดยไม่สุจริต เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับคดีนี้ แต่ศาลแขวงชลบุรีได้มีคำพิพากษายกฟ้องของโจทก์ในคดีดังกล่าว คดีถึงที่สุดแล้ว ขอให้ศาลฎีกาถือข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้แล้วขอให้พิพากษายกฟ้องคดีนี้เสีย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแขวงชลบุรี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6395/2532 และคดีถึงที่สุดแล้วจริงหรือไม่ และคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่ เห็นว่าในปัญหาเรื่องการฟ้องคดีอาญาดังกล่าวนั้น ระหว่างการสืบพยานคดีนี้ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างคดีอาญาหมายเลขแดงที่6395/2532 ของศาลแขวงชลบุรี เป็นพยานพร้อมกับยื่นบัญชีระบุพยานดังกล่าว โจทก์คัดค้านเพียงว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลชั้นต้นอนุญาตตามคำร้องของจำเลยทั้งสองแต่ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวหรือไม่ขึ้นวินิจฉัย ในชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยยกประเด็นดังกล่าวขึ้นอ้างในอุทธรณ์ โจทก์แก้อุทธรณ์เพียงว่าคดีอาญายังไม่ถึงที่สุดนำมารับฟังในคดีแพ่งไม่ได้ แต่ศาลอุทธรณ์ก็มิได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้เช่นกัน เมื่อจำเลยทั้งสองฎีกาจำเลยทั้งสองกล่าวอ้างว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโจทก์แก้ฎีกาแต่ไม่ได้โต้แย้งเรื่องคดีอาญาดังกล่าวว่ายังไม่ถึงที่สุด ดังนั้นจึงรับฟังได้ว่าคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6395/2532ของศาลแขวงชลบุรี ที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาโกงเจ้าหนี้ถึงที่สุดแล้วส่วนปัญหาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่นั้น เห็นว่า ประเด็นสำคัญในคดีนี้ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ทำให้แพ้หรือชนะคดีนั้นมีอยู่ว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้สมคบกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทลงวันที่25 มกราคม 2529 ย้อนหลังไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ก่อน ขายให้โจทก์จริงหรือไม่ ถ้าเป็นการทำสัญญาย้อนหลังไปจริง จำเลยทั้งสองก็จะแพ้คดีนี้ ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีอาญาดังกล่าว เพราะในคดีอาญาดังกล่าวถ้าจำเลยทั้งสองได้สมคบกันนำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทฉบับดังกล่าวโดยเป็นการทำสัญญาย้อนหลังไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ก่อนขายให้โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองก็อาจจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ได้ คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แต่เนื่องจากคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาโกงเจ้าหนี้ดังกล่าวนั้น ศาลแขวงชลบุรีวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญไม่ครบองค์ประกอบแห่งความผิดเพราะไม่ได้บรรยายในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำไปโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ และตามคำบรรยายฟ้องการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ โดยมิได้ชี้ขาดว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทลงวันที่ 25 มกราคม 2529 ย้อนหลังไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ก่อนขายให้โจทก์หรือไม่ ดังนั้นในการพิพากษาคดีนี้ ศาลย่อมมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงในปัญหาดังกล่าวตามที่คู่ความนำสืบได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
จำเลยทั้งสองฎีกาต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 ก่อนที่จะทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองปัญหานี้ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานจำเลยแล้ว เชื่อว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทขึ้นภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายไว้กับโจทก์แล้วโดยลงวันที่ย้อนหลังเป็นวันที่ 25 มกราคม 2529 เพื่อให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2ก่อนทำสัญญากับโจทก์ จึงชอบที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้
พิพากษายืน