คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4774/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกับขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์อันเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆออกจากอสังหาริมทรัพย์แม้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องเดิมเดือนละหนึ่งหมื่นบาทก็ตามแต่ตามคำฟ้องได้ความว่าที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในชนบทมีเนื้อที่เพียง300ตารางวาใช้ปลูกเรือนอยู่อาศัยและปลูกพืชผักมิใช่อยู่ในทำเลการค้าอันจะทำให้ได้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษแต่อย่างใดตามลักษณะและสภาพแห่งที่ดินดังกล่าวถือได้ว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทคู่ความในคดีฟ้องขับไล่เดิมนั้นจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสองเมื่อคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยผู้ถูกฟ้องขับไล่และศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ว่าศาลจะฟังว่าผู้ร้องสามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้หรือไม่ก็ตามคดีก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสามที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินพิพาทมิใช่บริวารของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา

ย่อยาว

คดี สืบเนื่อง มาจาก โจทก์ นำ เจ้าพนักงาน บังคับคดี ไป บังคับ ให้จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง กับ ขนย้าย ทรัพย์สินและ บริวาร ออกจาก ที่ดิน ตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ของ โจทก์พร้อม ทั้ง ปิดประกาศ กำหนด เวลา ให้ ผู้ที่ อ้างว่า ไม่ใช่ บริวาร ของ จำเลยทั้ง สอง ซึ่ง เป็น ลูกหนี้ ตาม คำพิพากษา ยื่น คำร้อง แสดง อำนาจ พิเศษต่อ ศาล ภายใน กำหนด 8 วัน นับแต่ วันปิดประกาศ
ผู้ร้อง ยื่น คำร้อง ว่า บ้าน และ ที่ดิน ที่ โจทก์ นำ เจ้าพนักงานไป บังคับคดี นั้น เป็น บ้าน และ ที่ดิน ของ ผู้ร้อง ขอให้ ศาล เพิกถอน การบังคับคดี
โจทก์ ยื่น คำคัดค้าน ว่า ผู้ร้อง ไม่ได้ เป็น เจ้าของ กรรมสิทธิ์หรือ ผู้ครอบครอง ที่ดิน ผู้ร้อง เป็น บุตร ของ จำเลย ทั้ง สอง ทราบ เรื่องที่ โจทก์ ฟ้อง และ ไม่เคย โต้แย้ง สิทธิ แต่อย่างใด ผู้ร้อง ยื่น คำร้องเพื่อ ประวิง การ บังคับคดี ขอให้ ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้น ไต่สวน แล้ว มี คำสั่ง ยกคำร้อง
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้อง ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า คดี นี้ สืบเนื่อง มาจาก เดิม โจทก์ ฟ้อง ว่าจำเลย ทั้ง สอง บุกรุก ที่ดิน ของ โจทก์ ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สอง รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง กับ ขนย้าย ทรัพย์สิน และ บริวาร ออกจาก ที่ดิน ของ โจทก์อันเป็น คดี ฟ้องขับไล่ บุคคล ใด ๆ ออกจาก อสังหาริมทรัพย์แต่ ข้อเท็จจริง ไม่ปรากฏ ว่า ที่ดินพิพาท อาจ ให้ เช่า ได้ ใน ขณะ ยื่น คำฟ้องเกิน เดือน ละ หนึ่ง หมื่น บาท หรือไม่ ได้ความ ตาม คำฟ้อง โจทก์ ว่าที่ดินพิพาท ตั้ง อยู่ ใน ชนบท เนื้อที่ ประมาณ 300 ตารางวา และ ตามคำฟ้อง โจทก์ กล่าวอ้าง ว่า จำเลย ทั้ง สอง บุกรุก เข้า ไป ปลูก บ้านเรือนอยู่อาศัย และ ปลูก พืช ผัก แสดง ว่า มิใช่ อยู่ ใน ทำเลการค้า อัน จะ ทำให้ได้ ค่าเช่า ที่ดิน สูง เป็น พิเศษ แต่อย่างใด ตาม ลักษณะ และ สภาพ แห่ง ที่ดินดังกล่าว ถือได้ว่า ที่ดินพิพาท อาจ ให้ เช่า ได้ ใน ขณะ ยื่น คำฟ้องไม่เกิน เดือน ละ หนึ่ง หมื่น บาท คู่ความ ใน คดี ฟ้องขับไล่ เดิม นั้นจึง ต้องห้าม ฎีกา ใน ข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง เมื่อ ปรากฎ ว่าคดี นี้ เป็น คดี เกี่ยวกับ การ บังคับผู้ร้อง ซึ่ง เป็น บริวาร ของ จำเลย ทั้ง สอง ผู้ถูกฟ้อง ขับไล่ และศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน ตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น ไม่ว่า ศาลจะ ฟัง ว่า ผู้ร้อง สามารถ แสดง อำนาจ พิเศษ ให้ ศาล เห็น ได้ หรือไม่ ก็ ตามคดี ก็ ต้องห้าม มิให้ ฎีกา ใน ข้อเท็จจริง ตาม ประมวล กฎหมาย วิธีพิจารณาความ แพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม ที่ ผู้ร้อง ฎีกา ว่า ผู้ร้อง เป็นเจ้าของ บ้าน และ ที่ดินพิพาท มิใช่ บริวาร ของ จำเลย ทั้ง สอง เป็น ฎีกาใน ข้อเท็จจริง ต้องห้าม มิให้ ฎีกา ตาม บท กฎหมาย ดังกล่าว ข้างต้นศาลชั้นต้น สั่ง รับ ฎีกา ของ ผู้ร้อง มา โดย ไม่ชอบ ศาลฎีกา ไม่รับ วินิจฉัย
พิพากษายก ฎีกา ของ ผู้ร้อง

Share