แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประเด็นสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะและโจทก์บอกล้างแล้วหรือไม่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ในชั้นชี้สองสถานและโจทก์จำเลยก็มิได้คัดค้านการชี้สองสถานดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์และจำเลยได้สละประเด็นนั้นแล้วดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อจนยอมลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองที่พิพาทให้จำเลยโดยที่จำเลยไม่มีเจตนาที่จะชำระราคาที่ดินพิพาทให้โจทก์สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะและโจทก์ได้บอกล้างแล้วจึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทและไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นเป็นการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งสมควรให้ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243ประกอบด้วยมาตรา247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2525 โจทก์เคยกู้ยืมเงินจากจำเลยจำนวน 30,000 บาท ต่อมาประมาณเดือนเมษายน 2527 โจทก์เสนอขายที่ดินมือเปล่า 1 แปลง เนื้อที่ 14 ไร่ 3 งาน 93 ตารางวาตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลหนองปลิง อำเภอเมืองกำแพงเพชรจังหวัดกำแพงเพชร ให้แก่จำเลยในราคา 60,000 บาท จำเลยตกลงซื้อโดยนัดไปทำสัญญาซื้อขายที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4ตำบลหนองปลิง ในวันที่ 6 เมษายน 2527 ครั้นถึงกำหนด โจทก์และจำเลยจึงเดินทางไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน และให้ผู้ใหญ่บ้านเขียนหนังสือสัญญาให้ หลังจากที่โจทก์ลงชื่อในหนังสือสัญญาซื้อขายแล้วโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินจำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าไม่ได้นำเงินมาให้โจทก์ไปรับเงินที่บ้าน ครั้นโจทก์ตามไปถึงบ้านจำเลย จำเลยอ้างว่ายังไม่มีเงินสดขอผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมาโจทก์ขอให้ปลัดอำเภอเมืองกำแพงเพชรหมายเรียกจำเลยมาพบ จำเลยพูดกับโจทก์ว่าที่ดินของโจทก์ที่ตกลงซื้อขายนั้น จำเลยไม่ต้องการซื้อขอเพียงให้โจทก์นำเงินที่ยืมไปจำนวน 30,000 บาท มาคืนก็จะคืนสัญญาซื้อขายให้ แต่ขอทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยไปจนกว่าโจทก์จะนำเงิน 30,000 บาท มาชำระ โจทก์จึงตกลงเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยนับแต่ปี 2527 เป็นต้นมา และไม่เคยบังคับให้จำเลยชำระราคาที่ดินพิพาทอีก ต่อมาเดือนกรกฎาคม 2533 โจทก์นำเงินจำนวน 30,000 บาท ไปชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย จำเลยไม่ยอมรับชำระและอ้างว่าขายที่ดินให้บุคคลอื่นไปแล้ว โจทก์จึงทราบว่าจำเลยนำที่ดินไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจำนองไว้แก่นางสาวสมจิต ประทีปกาญจนา พฤติการณ์ของจำเลยแสดงว่า จำเลยหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อจนยอมทำหนังสือสัญญาซื้อขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินให้จำเลย สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆียะ โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาซื้อขายแก่จำเลยแล้ว สิทธิครอบครองที่ดินหาได้ตกเป็นของจำเลยเพราะจำเลยเพียงครอบครองแทนโจทก์เท่านั้น จำเลยไม่มีสิทธินำที่ดินของโจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือจดทะเบียนจำนอง ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เล่มที่ 7หน้า 151 สารบัญ เลขที่ 81 หมู่ที่ 4 ตำบลหนองปลิงอำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชรให้โจทก์โดยปราศจากภาระติดพันใด ๆ และมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ทะเบียนเล่มที่ 7 หน้า 151 สารบัญเลขที่ 81ตำบลหนองปลิง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยชำระราคาที่ดินให้โจทก์แล้ว โจทก์ไม่เคยทวงถามเงินค่าที่ดินเพราะไม่มีหนี้สินต่อกัน จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาตั้งแต่ทำสัญญาซื้อขาย ทั้งได้เสียภาษีบำรุงท้องที่จนถึงปัจจุบัน จำเลยได้ครอบครองที่ดินโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ปี 2529 จำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ มีการประกาศตามระเบียบไม่มีผู้ใดคัดค้านนายแสวง กิจชม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลหนองปลิง เป็นผู้รับรองการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่จำเลยหลังจากขายที่พิพาทให้แก่จำเลยแล้วโจทก์ย้ายภูมิลำเนาออกไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ปี 2528โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาซื้อขายหรือบอกล้างนิติกรรมใด ๆ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย และขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์โดยปราศจากภาระติดพัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยต่างฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโดยโจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยคดีไม่ครบประเด็นเพราะไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ ส่วนจำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยนอกประเด็น เห็นว่าในชั้นชี้สองสถานนั้น ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้3 ประเด็น ตือ 1. จำเลยผิดสัญญาซื้อขายและโจทก์บอกเลิกสัญญาซื้อขายแล้วหรือไม่ 2. จำเลยมีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขอออก น.ส.3 หรือไม่และ 3. โจทก์เสียหายหรือไม่เพียงใด ส่วนประเด็นข้ออื่น ๆ เช่นสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะและโจทก์บอกล้างแล้วหรือไม่กับปัญหาเรื่องอายุความนั้น ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และโจทก์จำเลยก็มิได้คัดค้านการชี้สองสถานดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์และจำเลยได้สละประเด็นอื่น ๆ นั้นหมดแล้ว ไม่ติดใจจะต่อสู้กันในประเด็นที่มิได้กำหนดนั้นต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 2ได้วินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อจนยอมลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองที่พิพาทให้จำเลย โดยที่จำเลยไม่มีเจตนาที่จะชำระราคาที่ดินพิพาทให้โจทก์อันจะทำให้สัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.2 และการส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะและโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญานี้หรือไม่แล้วฟังข้อเท็จจริงว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นโมฆียะโจทก์ได้บอกล้างแล้วจึงเป็นโมฆะมาแต่แรก พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์โดยปราศจากภาระติดพัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าว จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทและจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ ดังนี้ถือว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้วจึงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น เป็นการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่ง สมควรให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง>ใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243ประกอบด้วยมาตรา 247 ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องค่าเสียหายของโจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์มิได้อุทธรณ์ในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2มิได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหายให้โจทก์จึงชอบแล้ว
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิจารณาและพิพากษาใหม่ในประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 และ 2