คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยที่1ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริตประเด็นข้อนี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่323ซึ่งเดิมโจทก์และ จ. เป็นเจ้าของร่วมกันต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งแยกโจทก์ได้ด้านทิศเหนือคือที่ดินพิพาทส่วน จ. ได้ด้านทิศใต้ จ.และจำเลยที่2ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่323ทั้งแปลงโดยสัญญาจะซื้อจะขายระบุเนื้อที่และที่ตั้งของที่ดินพิพาทไว้อันเป็นการซื้อขายตัวทรัพย์มิใช่เป็นการขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของ จ. เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมมิได้ยินยอมจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทด้วยสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1361วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ พ.ศ. 2525 จำเลย ทั้ง สาม ได้ ร่วมกันก่อสร้าง และ ต่อเติม อาคาร เลขที่ 3773/9 บน ที่ดิน โฉนด เลขที่ 323ซึ่ง เป็น ของ โจทก์ โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต โจทก์ บอกกล่าว ให้ จำเลยทั้ง สาม รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ออก ไป จาก ที่ดิน ดังกล่าว จำเลย ทั้ง สามเพิกเฉย ทำให้ โจทก์ ได้รับ ความเสียหาย เพราะ โจทก์ สามารถ นำ ที่ดินดังกล่าว ออก ไป ให้ บุคคลอื่น เช่า ได้ ค่าเช่า อย่าง ต่ำ เดือน ละ 10,000บาท ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สาม รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ออก ไป จาก ที่ดินโฉนด เลขที่ 323 และ ให้ ชำระ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์ เดือน ละ 10,000 บาทนับแต่ วันฟ้อง จนกว่า จำเลย ทั้ง สาม จะ รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ออก ไป จากที่ดิน โจทก์ กับ ห้าม จำเลย และ บริวาร เกี่ยวข้อง กับ ที่ดิน โจทก์ อีก ต่อไป
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ ว่า โจทก์ ไม่ใช่ เจ้าของ ที่ดิน ตาม ฟ้องจำเลย ทั้ง สาม ซื้อ ที่ดิน ดังกล่าว จาก พันตำรวจเอก จำนง เจ้าของ กรรมสิทธิ์ แล้ว จึง ดำเนินการ ก่อสร้าง โกดัง และ ลานจอดรถ บน ที่ดินดังกล่าว จำเลย ทั้ง สาม ไม่ได้ กระทำ ละเมิด ต่อ โจทก์ ค่าเช่า ที่ โจทก์อ้าง ไม่เป็น ความจริง ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สาม รื้อถอน สิ่งปลูกสร้างออก ไป จาก ที่ดิน โจทก์ โฉนด เลขที่ 323 และ ห้าม จำเลย ทั้ง สาม กับ บริวารเกี่ยวข้อง กับ ที่ดิน โจทก์ อีก ต่อไป กับ ให้ จำเลย ทั้ง สาม ชำระ ค่าเสียหายแก่ โจทก์ เดือน ละ 5,000 บาท นับแต่ วันฟ้อง จนกว่า จำเลย ทั้ง สาม จะรื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ออก ไป จาก ที่ดิน โจทก์ เสร็จสิ้น
จำเลย ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ข้อกฎหมาย ว่า ที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่าจำเลย ที่ 1 ปลูกสร้าง อาคาร รุกล้ำ ที่ดิน โจทก์ โดยสุจริต เป็น การวินิจฉัย นอกประเด็นข้อพิพาท ที่ ศาลชั้นต้น กำหนด ไว้ หรือไม่ เห็นว่าใน ชั้น ชี้สองสถาน ศาลชั้นต้น มิได้ กำหนด ประเด็น ข้อพิพาท ไว้ ว่าจำเลย ที่ 1 ปลูกสร้าง อาคาร รุกล้ำ ที่ดิน โจทก์ โดยสุจริต ประเด็นข้อ นี้ จึง มิใช่ ข้อ ที่ ยกขึ้น ว่ากล่าว กัน มา แล้ว โดยชอบ ใน ศาลชั้นต้นและ มิใช่ ปัญหา อัน เกี่ยวกับ ความสงบ เรียบร้อย ของ ประชาชน การ ที่ศาลอุทธรณ์ หยิบยก ข้อเท็จจริง ดังกล่าว ขึ้น มา วินิจฉัย จึง เป็น การวินิจฉัย นอกประเด็น ไม่ชอบ ด้วย กระบวนพิจารณา
ข้อเท็จจริง ฟังได้ ว่า โจทก์ มิได้ รู้เห็น ยินยอม ด้วย ใน การ ที่พันตำรวจเอก จำนง ทำ สัญญาจะซื้อจะขาย ที่ดินพิพาท ให้ จำเลย ที่ 2เห็นว่า ที่ ตั้ง ของ ที่ดิน ตาม สัญญาจะซื้อจะขาย ระบุ เนื้อที่ และ ที่ ตั้งของ ที่ดินพิพาท ไว้ จึง เป็น การ ซื้อ ขายตัว ทรัพย์ มิใช่ เป็น การ ขายกรรมสิทธิ์ เฉพาะ ส่วน ของ พันตำรวจเอก จำนง การ ขายตัว ทรัพย์ ที่ ถือ กรรมสิทธิ์รวม นั้น ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361วรรคสอง เจ้าของรวม คนหนึ่ง จะ กระทำ ได้ ก็ แต่ ด้วย ความ ยินยอม ของเจ้าของ ทุกคน เมื่อ โจทก์ เป็น เจ้าของรวม มิได้ ยินยอม จะซื้อ หรือ ขายที่ดินพิพาท ด้วย เอกสาร หมาย จ. 9 (หรือ จ. 3) จึง ไม่ผูกพัน โจทก์โจทก์ ยัง คง เป็น เจ้าของ กรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาท
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

Share