คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2167/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าขณะที่ อ. ขอเอาประกันภัยและขณะที่จำเลยได้ออกกรมธรรม์ประกันภัย อ.มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่นำมาประกันภัยแต่มิได้กล่าวว่า อ. มิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียอย่างไรเท่ากับไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจึงไม่มีสิทธินำสืบตามคำให้การ อ. เป็นผู้วางเงินมัดจำและครอบครองรถยนต์พิพาทในฐานะผู้ซื้อจากบุคคลภายนอกจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียนับตั้งแต่วางมัดจำและเข้าครอบครองรถยนต์พิพาทสัญญาประกันภัยย่อมมีผลใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า นาย อารีย์ เช่าซื้อ รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า ไฮลักซ์ หมายเลข ทะเบียน 8ร-5739 กรุงเทพมหานคร ไป จาก โจทก์ แล้ว นำ รถ คัน ที่ เช่าซื้อ ไป ทำ สัญญาประกันภัย ไว้ กับ จำเลยมี โจทก์ เป็น ผู้รับประโยชน์ ต่อมา รถยนต์ ที่ เอา ประกันภัย ถูก คนร้ายลัก ไป นาย อารีย์ ค้างชำระ ค่าเช่าซื้อ 262,360 บาท โจทก์ แสดง เจตนา ขอรับ เงิน ค่าสินไหมทดแทน และ มี หนังสือ ทวงถาม ไป ยัง จำเลยหลาย ครั้ง แต่ จำเลย เพิกเฉย ขอให้ บังคับ จำเลย ชำระ เงิน จำนวน236,623.97 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปีของ ต้นเงิน 210,000 บาท นับ จาก วันฟ้อง แก่ โจทก์
จำเลย ให้การ ว่า จำเลย ไม่ต้อง รับผิด เนื่องจาก กรมธรรม์ประกันภัย ไม่มี ผลบังคับ ได้ ตาม กฎหมาย เพราะ นาย อารีย์ มิได้ มี ส่วนได้เสีย ใน รถยนต์ ที่ เอา ประกันภัย และ โจทก์ ฟ้อง เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ รถ สูญหาย คดี จึง ขาดอายุความ ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ชำระ เงิน 210,000 บาท แก่ โจทก์พร้อม ด้วย ดอกเบี้ย ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี ใน ต้นเงิน ดังกล่าว นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2533 เป็นต้น ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ คำขอ อื่นนอกจาก นี้ ให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว คดี มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ว่านาย อารีย์ เป็น ผู้มีส่วนได้เสีย ใน รถยนต์ ที่ นำ มา ประกันภัย ไว้ กับ จำเลย หรือไม่ เห็นว่า ปัญหา นี้ จำเลย ให้การ แต่เพียง ว่า ขณะที่นาย อารีย์ ขอเอาประกันภัย กับ จำเลย และ ใน ขณะที่ จำเลย ได้ ออก กรมธรรม์ประกันภัย นาย อารีย์ มิได้ เป็น ผู้มีส่วนได้เสีย ใน รถยนต์ ที่ นำ มา ประกันภัย ไว้ กับ จำเลย ส่วน ข้อ ที่ ว่า นาย อารีย์ มิใช่ เป็น ผู้ มี ส่วนได้เสีย อย่างไร จำเลย มิได้ กล่าว ไว้ คำให้การ ของ จำเลยจึง ไม่มี เหตุ แห่ง การ ปฏิเสธ ไม่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลย ไม่มีสิทธิ ที่ จะ นำสืบ ตาม คำให้การ ส่วน พยานโจทก์ ที่ นำสืบ ก็ มี น้ำหนัก ให้ ฟังได้ว่า นาย อารีย์ เป็น ผู้ วางเงิน มัดจำ และ ครอบครอง รถยนต์ พิพาท ใน ฐานะ ผู้ซื้อ จาก บุคคลภายนอก นาย อารีย์ จึง เป็น ผู้มีส่วนได้เสีย ใน รถยนต์ พิพาท นับ ตั้งแต่ วาง มัดจำ ค่า รถยนต์ พิพาท และ เข้า ครอบครองเมื่อ นาย อารีย์ ทำ สัญญาประกันภัย รถยนต์ พิพาท กับ จำเลย สัญญา ประกันภัย ย่อม มีผล ใช้ บังคับ ได้ คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ชอบแล้ว ฎีกาจำเลย ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share