แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยขายทอดตลาดเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาขั้นร้องขัดทรัพย์ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา288วรรคสองให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดคดีเหมือนอย่างคดีธรรมดาโดยโจทก์ร่วมมีฐานะเป็นจำเลยโจทก์หาใช่ผู้ร้องขอให้บังคับคดีจึงไม่มีฐานะเป็นจำเลยดังนั้นแม้ศาลจะมีคำสั่งในคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ให้โจทก์ให้การแก้คดีแต่เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งมีฐานะเป็นจำเลยได้ให้การแก้คดีแล้วจึงมิใช่กรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา198วรรคแรกผู้ร้องในฐานะโจทก์ไม่จำต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา198วรรคสองหาได้ไม่ การที่ศาลมีคำสั่งในคำให้การโจทก์ร่วมแต่เพียงว่า”รอฟังโจทก์จำเลยก่อน”เท่านั้นมิได้กำหนดให้ผู้ร้องดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรและได้ส่งคำสั่งโดยชอบจะถือว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา132หาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงผู้เสียหาย 18 คน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ลงโทษจำคุก 3 ปีให้จำเลยคืนเงิน 594,000 บาทแก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีถึงที่สุด แต่จำเลยไม่คืนเงินแก่ผู้เสียหายโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายจึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 534 ขายทอดตลาดบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องครอบครองทรัพย์ที่ถูกยึดมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้สิทธิครอบครอง โจทก์ร่วมใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ร่วมให้การว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวเพราะจำเลยและนายลบได้มาจากบิดามารดา และไม่เคยสละสิทธิครอบครองผู้ร้องและจำเลยคบคิดกันยักย้ายทรัพย์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกคำร้องขอ
โจทก์ไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ผู้ร้องมิได้ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การภายใน 15 วัน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้แก้ไขคำสั่งเพื่อให้ผู้ร้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดจึงเป็นกรณีที่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 วรรคสอง เรื่องร้องขัดทรัพย์ การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีชั้นร้องขัดทรัพย์ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดคดีนั้นเหมือนอย่างคดีธรรมดา คู่ความในคดี คือ ผู้ร้องขัดทรัพย์กับโจทก์ร่วมโดยโจทก์ร่วมมีฐานะเป็นจำเลย ส่วนผู้ร้องขัดทรัพย์ในฐานะเป็นโจทก์ เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดี (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา)เป็นผู้ร้องขอให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษา ดังนั้นโจทก์ร่วมในคดีนี้จึงมีฐานะเป็นจำเลย โจทก์หาใช่เป็นผู้ร้องขอให้บังคับคดีและมีฐานะเป็นจำเลยไม่ ในคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ศาลชั้นต้นจะได้มีคำสั่งให้โจทก์ให้การแก้คดีก็ตาม เมื่อปรากฏว่าโจทก์ร่วมซึ่งมีฐานะเป็นจำเลยได้ให้การแก้คดีแล้ว จึงมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคแรกผู้ร้องในฐานะโจทก์จึงไม่จำต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง หาได้ไม่
การที่ศาลมีคำสั่งในคำให้การโจทก์ร่วมแต่เพียงว่า”รอฟังโจทก์จำเลยก่อน” เท่านั้น ทั้งมิได้กำหนดให้ผู้ร้องดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรและได้ส่งคำสั่งโดยชอบ อันจะถือว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และยกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี