คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7751/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีนี้และคดีก่อนมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับเดียวกันว่าจำเลยผิดสัญญาในการจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์หรือไม่แต่การวินิจฉัยประเด็นแห่งมูลหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในคดีนี้แตกต่างจากคดีก่อนเพราะเป็นหนี้คนละคราวกันซึ่งโจทก์ไม่อาจเรียกร้องมาในคดีก่อนได้เนื่องจากหนี้ดังกล่าวยังไม่ถึงกำหนดฉะนั้นประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่จ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูประจำเดือนมีนาคม2528ถึงเดือนกรกฎาคม2534และต้องจ่ายในอนาคตต่อไปหรือไม่จึงยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือเด็กหญิงวิมลพร ผิวนวล เกิดเมื่อวันที่28 กุมภาพันธ์ 2522 อายุ 12 ปี โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่เมื่อปี 2522 โดยจำเลยยินยอมจะจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์เดือนละ 1,000 ถึง 3,000 บาท จำเลยได้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์เดือนละ 1,000 บาท มาถึงเดือนธันวาคม 2524 แล้วไม่จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงไว้ โจทก์ทวงถามหลายครั้งจำเลยเพิกเฉย นับแต่เดือนธันวาคม 2524 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2528รวม 38 เดือน เป็นเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างอยู่ 76,000 บาทโจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2528 ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท รวม 38 เดือน เป็นเงิน 57,000 บาทซึ่งโจทก์ได้รับเงินตามคำพิพากษาคดีก่อนแล้ว หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์อีก ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรเดือนละ 3,000 บาทนับแต่เดือนมีนาคม 2528 ถึงเดือนกรกฎาคม 2534 รวม 77 เดือนเป็นเงิน 231,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูนับแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปเดือนละ 5,000 บาท จนกว่าบุตรจะสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีและมีอาชีพเลี้ยงตนได้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์คดีนี้มีประเด็นต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุคนละอย่างกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12298/2528 ของศาลชั้นต้น จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 นั้น เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12298/2528ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรเดือนละ 1,000 บาท ถึง 3,000 บาทจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์และบุตรเดือนละ 1,000 บาทจนถึงเดือนธันวาคม 2524 แล้วจำเลยไม่ยอมจ่าย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์และบุตรเดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2524 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2528 รวม 38 เดือนเป็นเงินรวม 76,000 บาท และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์เดือนละ 1,500 บาท รวม 38 เดือนเป็นเงิน 57,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับเงินตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้วคดีนี้โจทก์อ้างว่าหลังจากนั้นจำเลยไม่เคยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์และบุตรอีก ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรอีกเดือนละ 3,000 บาทนับแต่เดือนมีนาคม 2528 ถึงเดือนกรกฎาคม 2534 รวม 77 เดือนเป็นเงินรวม 231,000 บาท และจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูนับแต่เดือนกรกฎาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าบุตรจะสำเร็จปริญญาตรีและมีอาชีพเลี้ยงตนเองได้ เห็นว่า แม้คดีนี้และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12298/2528 ของศาลชั้นต้น จะมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับเดียวกันว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่แต่การวินิจฉัยประเด็นแห่งมูลหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ในคดีนี้แตกต่างจากคดีก่อนเพราะเป็นหนี้คนละคราวกัน ซึ่งโจทก์ไม่อาจเรียกร้องมาในคดีก่อนได้ เนื่องจากหนี้ดังกล่าวยังไม่ถึงกำหนด ฉะนั้นประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่จ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูประจำเดือนมีนาคม 2528 ถึงเดือนกรกฎาคม 2534 และต้องจ่ายในอนาคตต่อไปหรือไม่ จึงยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12298/2528 ของศาลชั้นต้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 154,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ2,000 บาท นับแต่เดือนกรกฎาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ

Share