คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1352/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมเมื่อวันที่22กันยายน2528เมื่อนับถึงวันยื่นคำร้องขอวันที่27สิงหาคม2535จึงยังไม่ครบ10ปีผู้ร้องจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382แสดงว่าหากนับจากวันที่บิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเป็นเวลาครบ10ปีคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนไปเมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานในสำนวนผิดพลาดเพราะความจริงบิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมเมื่อวันที่16สิงหาคม2516เป็นเวลาก่อนที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอประมาณ19ปีไม่ใช่วันที่22กันยายน2528อันเป็นผลให้คำวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนไปศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์
ศาลชั้นต้นประกาศนัดไต่สวน ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีตัวผู้ร้องมาสืบประกอบเอกสารหมาย ร.1 ถึง ร.10 และมีนายกำพล เตชะหรูวิจิตรมาเบิกความสนับสนุนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บิดาผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1739 ตำบลประแจจีน อำเภอดุสิตกรุงเทพมหานคร เมื่อปี 2511 โดยครั้งแรกให้นายกำพลถือกรรมสิทธิ์แทน แล้วต่อมาให้นายสันติ ชูเกียรติศิริชัยถือกรรมสิทธิ์แทน บิดาผู้ร้องปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวตั้งแต่ปี 2512 ผู้ร้องอยู่ด้วยตลอดมา บิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2516 ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องเห็นด้วยที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ร้องจะอ้างสิทธิครอบครองปรปักษ์ได้ก็ต่อเมื่อบิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมแล้ว แต่บิดาผู้ร้องมิใช่ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2528ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย บิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมเมื่อวันที่16 สิงหาคม 2517 ถึงวันที่ยื่นคำร้องขอคือวันที่7 (ที่ถูกวันที่ 27 สิงหาคม 2535)เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี เป็นการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนายสันติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382เห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่บิดาผู้ร้องให้นายกำพลและนายสันติมีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนที่ดินดังกล่าวจึงมิใช่กรรมสิทธิ์ของบุคคลทั้งสองผู้ร้องบรรยายในคำร้องว่าบิดาผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน และบิดาผู้ร้องกับผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินดังกล่าว ดังนั้นผู้ร้องจึงมิได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินของบิดาผู้ร้อง ผู้ร้องจะอ้างสิทธิครอบครองปรปักษ์ได้ก็ต่อเมื่อบิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมแล้ว ปรากฏว่าบิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2528 เมื่อนับถึงวันยื่นคำร้องขอวันที่ 4 (ที่ถูกวันที่ 27 สิงหาคม 2535)จึงยังไม่ครบ 10 ปี ผู้ร้องจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แสดงว่าหากนับจากวันที่บิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเป็นเวลาครบ10 ปี คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนไป ซึ่งความจริงบิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2516 เป็นเวลาก่อนที่ผู้ร้องยื่นคำร้องประมาณ 19 ปี ไม่ใช่วันที่ 22 กันยายน 2528ซึ่งเป็นวันถึงแก่กรรมของมารดาผู้ร้อง ฎีกาผู้ร้องฟังขึ้นแต่เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานในสำนวนผิดพลาดอันเป็นผลให้คำวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนไปเช่นนี้จึงเห็นควรให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามลำดับชั้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share