คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1338/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนและติดตามจับกุมคนร้ายเรียกรับเงินจากผู้เสียหายในคดีที่สามีผู้เสียหายถูกคนร้ายฆ่าและชิงทรัพย์โดยไม่มีสิทธิจะเรียกรับถือได้ว่าเป็นการรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ตนเองโดยมิชอบเพื่อกระทำการในตำแหน่งหน้าที่จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา149

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149, 157, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 รวม 2 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปีที่โจทก์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาด้วยนั้นศาลลงโทษตามบทเฉพาะแล้ว จึงไม่ลงโทษตามมาตราดังกล่าวซึ่งเป็นบททั่วไปอีกยกคำขอส่วนนี้
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตำแหน่งสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทองมีหน้าที่สืบสวนสอบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในคดีที่นายสอาดสามีนางเหรียญผู้เสียหายถูกคนร้ายฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ โดยได้รับโอนสำนวนการสอบสวนต่อจากร้อยตำรวจเอกจรูญ จำเลยจึงมีหน้าที่สืบสวนสอบสวนและติดตามจับกุมคนร้ายที่ฆ่าและชิงทรัพย์นายสอาดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายขณะที่จำเลยรับสำนวนมายังจับกุมคนร้ายไม่ได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้เรียกรับทรัพย์สินจากผู้เสียหายตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายไป 2 ครั้ง จริงตามฟ้อง การที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนและติดตามจับกุมคนร้ายเรียกรับเงินจากผู้เสียหายโดยไม่มีสิทธิจะเรียกรับ ถือได้ว่าเป็นการรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ตนเองโดยมิชอบเพื่อกระทำการในตำแหน่งหน้าที่ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share