คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14756/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาว่าจะสั่งรับหรือไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 223 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งฎีกาของจำเลยให้ศาลฎีกาสั่งจึงเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยไปเลย โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง คดีนี้เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว หากจำเลยจะยื่นฎีกาจะต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพื่อขอให้รับฎีกาไว้วินิจฉัยตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23, 33 ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง กับเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2) (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่ง), 66 วรรคสอง จำคุก 5 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 600,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับได้ไม่เกิน 1 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยยื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นภายในระยะเวลาฎีกา โดยมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นฎีกาโดยมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา จึงให้ส่งฎีกานี้ให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่ง เห็นว่า การพิจารณาว่าจะสั่งรับหรือไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 223 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งฎีกาของจำเลยให้ศาลฎีกาสั่งจึงเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยไปเลย โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง คดีนี้เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว หากจำเลยจะยื่นฎีกาจะต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพื่อขอให้รับฎีกาไว้วินิจฉัยตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share