คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์คันที่ ส. ขับมีผู้ตายทั้งสองนั่งโดยสารมาด้วย ส.ขับรถชนท้ายรถบรรทุกห้องเย็นอย่างแรงแล้วจึงถูกรถจำเลยชนท้ายไม่รุนแรงนัก ก. และ ท. ที่นั่งโดยสารมากับรถจำเลยในที่นั่งตอนหน้าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยการที่ผู้ตายทั้งสองซึ่งนั่งอยู่หน้ารถ ส. อยู่ห่างไกลจุดชนมากกว่า ก. และ ท. กลับได้รับอันตรายถึงแก่ความตายเช่นนี้ย่อมแสดงว่าความตายของผู้ตายทั้งสองมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยแต่น่าจะเป็นผลโดยตรงมาจากการที่ ส.ขับรถชนท้ายรถยนต์บรรทุกห้องเย็นมากกว่าจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา291แต่มีความผิดตามมาตรา390

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 390 พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 43,157
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ระหว่าง พิจารณา นาย เจริญ พรเจริญ บิดา โดยชอบ ด้วย กฎหมาย ของ นาย พงษ์ศักดิ์ พรเจริญ ผู้ตาย ยื่น คำร้องขอ เข้าร่วม เป็น โจทก์ ศาลชั้นต้น อนุญาต
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 390 พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43, 157 ให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191(ที่ ถูกต้อง มาตรา 291), 90 ซึ่ง เป็น บทหนัก จำคุก 4 ปี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา โดย ผู้พิพากษา ซึ่ง ลงชื่อ ใน คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์อนุญาต ให้ ฎีกา ใน ปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกา วินิจฉัย จาก พยานหลักฐาน แล้ว ฟัง ข้อเท็จจริง ว่าน่าเชื่อ ตาม ที่ จำเลย นำสืบ ว่า รถ นาย สมหวัง ชน ท้าย รถยนต์บรรทุก ห้องเย็น ก่อน แล้ว รถ จำเลย เบรก ไม่ ทัน จึง ชน ท้ายรถ นาย สมหวัง แต่ ปรากฎ จาก คำเบิกความ ของ นาย บุญธรรม ว่า จำเลย ขับ รถ ตาม หลัง รถ นาย สมหวัง มา อย่าง กระชั้นชิด ด้วย ความ เร็ว ทั้ง คู่ ทั้ง ปรากฎ จาก ร่องรอย ใน ที่เกิดเหตุ ว่า พบ รอย ห้ามล้อ รถ จำเลย เป็น ทาง ยาว 12 เมตรแสดง ว่า จำเลย ขับ รถ มา ด้วย ความ เร็ว สูง โดยประมาท หรือ น่า หวาดเสียวอัน อาจ เกิด อันตราย แก่ บุคคล หรือ ทรัพย์สิน ไม่ ขับ รถ ให้ ห่าง รถ คัน หน้าพอสมควร ใน ระยะ ที่ จะ หยุด รถ ได้ โดย ปลอดภัย ใน เมื่อ จำเป็น ต้อง หยุด รถดังนั้น รถ จำเลย จะ ชน ท้ายรถ นาย สมหวัง ก่อน แล้ว รถ นาย สมหวัง ไป ชน รถยนต์บรรทุก ห้องเย็น ดัง ที่ โจทก์ นำสืบ หรือ รถ นาย สมหวัง ชน รถยนต์บรรทุก ห้องเย็น ก่อน แล้ว ถูก รถ จำเลย ชน ซ้ำ ดัง ที่ จำเลย นำสืบก็ ยัง ได้ ชื่อ ว่า จำเลย มี ส่วน ประมาท อยู่ นั่นเอง และ วินิจฉัย ต่อไป ว่าปัญหา ที่ ต้อง วินิจฉัย ต่อไป จึง มี ว่า ความตาย ของ ผู้ตาย ทั้ง สอง เป็น ผลโดยตรง จาก การกระทำ โดยประมาท ของ จำเลย หรือไม่ ปรากฎ ตาม ภาพถ่ายและ บันทึก ผล การ ตรวจ สภาพ รถ ที่เกิดเหตุ เอกสาร หมาย จ. 2 ถึง จ. 4 และจ. 5, จ. 6 ว่า รถ นาย สมหวัง กันชน หน้าด้าน ขวา ตัวถัง หน้าด้าน ขวา บุบ ยุบ ฝา ครอบ เครื่อง บุบ ยุบ ฉีก พับ ที่ ตอน กลาง กระ จัง หน้า แตก หลุด ออกเสา เก๋ง หน้า รถ ด้านขวา มี รอย ครูด แต่ ตอนท้าย รถ ได้รับ ความเสียหาย ไม่มากส่วน รถยนต์บรรทุก ห้องเย็น เหล็ก บังโคลน ล้อ หลัง ด้านซ้าย หลุด ออกเพลา ข้าง ล้อ หลัง ด้านซ้าย โย้ไป ข้างหน้า กะทะล้อ หลัง คด แหนบล้อ หลังด้านซ้าย บิด ทำให้ รถ วิ่ง ไม่ได้ สำหรับ รถ จำเลย กันชน หน้า ตอน กลาง ยุบ พับติด แผง ระบาย ความร้อน เครื่องปรับอากาศ ตัวถัง หน้า และ ฝา ครอบเครื่อง บุบ ยุบ ดังนี้ เมื่อ เปรียบเทียบ ร่องรอย ความเสียหาย ที่ เกิดแก่ รถยนต์ ทั้ง สาม คัน ดังกล่าว จะ เห็น ได้ว่า ส่วน หน้า รถยนต์ นาย สมหวัง และ ส่วน ท้าย ของ รถยนต์บรรทุก ห้องเย็น มี ความเสียหาย รุนแรงมาก กว่า รถ จำเลย มาก เพราะ รถ จำเลย เสียหาย เพียง เฉพาะ กันชน หน้าและ บริเวณ ตัวถัง ด้านหน้า เพียง เล็กน้อย ซึ่ง ก็ สอดคล้อง กับ ความเสียหายของ รถ นาย สมหวัง ตอนท้าย ที่ ได้รับ ความเสียหาย เนื่องจาก การ ถูก รถ จำเลย ชน ท้าย ไม่มาก นัก แสดง ให้ เห็นว่า รถ นาย สมหวัง ชน ท้ายรถยนต์บรรทุก ห้องเย็น อย่าง แรง แล้ว จึง ถูก รถ จำเลย ชน ท้าย ไม่ รุนแรง นัก เพราะ นอกจากด้านหน้า รถ จำเลย และ ท้ายรถ นาย สมหวัง เสียหาย ไม่มาก แล้ว ยัง ปรากฎ ด้วย ว่า นาย กิติศักดิ์ และ นาย ทิม ที่นั่ง โดยสาร มา กับ รถ จำเลย ใน ที่นั่ง ตอน หน้า ได้รับ บาดเจ็บ แต่เพียง เล็กน้อย ทั้ง ปรากฎ ว่า มี รอย เบรกรถ จำเลย ยาว ถึง 12 เมตร แสดง ว่า ขณะ รถ จำเลย ชน ท้ายรถ นาย สมหวัง น่า จะ เป็น เพียง การ ลื่นไถล หลังจาก ที่ จำเลย ใช้ ห้ามล้อ ยาว ถึง 12 เมตรแล้ว แรง ชน จาก รถ จำเลย จึง ไม่มาก นัก ดัง จะ เห็น ได้ว่า มีผล เพียง ทำให้นาย กิติศักดิ์ และ นาย ทิม ซึ่ง นั่ง อยู่ หน้า รถ จำเลย ได้รับ บาดเจ็บ เพียง เล็กน้อย ดังนั้น การ ที่ ผู้ตาย ทั้ง สอง ซึ่ง นั่ง อยู่ หน้า รถนาย สมหวัง อยู่ ห่างไกล จุด ชน มาก กว่า นาย กิติศักดิ์ และ นาย ทิม กลับ ได้รับ อันตราย ถึงแก่ความตาย เช่นนี้ ย่อม แสดง ว่าความ ตาย ของ ผู้ตายทั้ง สอง มิใช่ เป็น ผล โดยตรง มาจาก การ ที่ จำเลย ขับ รถ ชน ท้ายรถ นาย สมหวัง แต่ น่า จะ เป็น ผล โดยตรง จาก การ ที่นาย สมหวัง ขับ รถ ชน ท้ายรถ ยนต์บรรทุก ห้องเย็น มาก กว่า กล่าว คือ แม้ จำเลย จะ มิได้ ขับ รถ มา ชน ท้ายรถนาย สมหวัง ผู้ตาย ทั้ง สอง ก็ ถึงแก่ความตาย เนื่องจาก รถ นาย สมหวัง ชน ท้ายรถ ยนต์บรรทุก ห้องเย็น อยู่ นั่นเอง ความตาย ของ ผู้ตาย ทั้ง สองจึง มิใช่ เป็น ผล โดยตรง มาจาก การกระทำ โดยประมาท ของ จำเลยจำเลย จึง ไม่มี ความผิด ฐาน กระทำ โดยประมาท เป็นเหตุ ให้ ผู้ตายทั้ง สอง ถึงแก่ความตาย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำเลย คง มีความผิด เพียง ฐาน ขับ รถ ประมาท เป็นเหตุ ให้ นาย กิติศักดิ์ และ นาย ทิม ได้รับ อันตรายแก่กาย เท่านั้น
พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390 พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157แต่ เป็น การกระทำ อันเป็น กรรมเดียว กัน เป็น ความผิด ต่อ กฎหมาย หลายบทให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 อันเป็น กฎหมาย บทที่มี โทษหนัก ที่สุด ตาม มาตรา 90 ให้ ปรับ 1,000 บาท ไม่ชำระ ค่าปรับให้ จัดการ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ส่วน ข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ให้ยก ฟ้อง

Share