แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยในคดีนี้กับป.เคยถูกช.ฟ้องเป็นจำเลยให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากรถยนต์แท็กซี่ของจำเลยซึ่งขับโดยป.ชนรถยนต์ของช.เสียหายคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ป. และโจทก์ร่วมกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่ช.ส่วนจำเลยศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกันแม้โจทก์กับจำเลยคดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตามก็ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีก่อนด้วยคำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคแรกข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน แม้ในแบบพิมพ์คำร้องขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของโจทก์ซึ่งจำเลยลงชื่อจะมีข้อความว่าหากจำเลยหรือบุคคลที่จำเลยมอบหมายให้ขับรถยนต์แท็กซี่คันพิพาทได้กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นทำให้โจทก์ต้องร่วมรับผิดและทางโจทก์มาทราบผลละเมิดภายหลังที่จำเลยได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกจำเลยขอรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อโจทก์ทั้งสิ้นและขอสละข้อต่อสู้ต่างๆทั้งหมดในการที่โจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายก็ตามเงื่อนไขตามเอกสารดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีละเมิดที่เกิดในระหว่างที่จำเลยเป็นสมาชิกและนำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าวิ่งร่วมกับโจทก์ตามสัญญารถร่วมด้วยเมื่อข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดและผูกพันโจทก์และจำเลยว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกันและจำเลยไม่ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์แล้วโจทก์จะมาฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกของโจทก์และได้นำรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน 1ท-3546 กรุงเทพมหานครเข้าร่วมกับโจทก์ วันที่ 16 กันยายน 2526นายประสาตร์ ช้างสาร ขับรถยนต์แท็กซี่คันดังกล่าวชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ค-1819 กรุงเทพมหานครของนายชูทิตย์ ปานปรีชา ได้รับความเสียหายนายชูทิตย์เป็นโจทก์ฟ้องนายประสาตร์กับจำเลยและโจทก์ต่อศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นายประสาตร์และโจทก์ร่วมกันชำระเงิน 54,407 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่นายชูทิตย์โจทก์ถูกบังคับคดีให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเงิน87,524 บาท ต่อมาวันที่ 10 มกราคม 2533 จำเลยได้ทำคำร้องขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของโจทก์>ซึ่งมีข้อความว่า ในระหว่างที่จำเลยเป็นสมาชิกของโจทก์จำเลยหรือบุคคลที่จำเลยมอบหมายไม่เคยนำรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ท-3546 กรุงเทพมหานคร ที่เข้าร่วมกับโจทก์ตามสัญญารถร่วมไปกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นเสียหายจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายนั้นและหากจำเลยหรือบุคคลที่จำเลยมอบหมายให้ขับรถคันดังกล่าวได้กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นในขณะที่จำเลยยังเป็นสมาชิกของโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องร่วมรับผิดและโจทก์มาทราบผลละเมิดภายหลังจากที่จำเลยลาออกจากการเป็นสมาชิกโจทก์แล้ว จำเลยขอรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อโจทก์ทั้งสิ้นจำเลยขอสละข้อต่อสู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั้งหมดที่จะนำมาต่อสู้กับโจทก์ในกรณีที่โจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเรียกเงินค่าเสียหายดังกล่าวตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 95,182.36 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน87,524 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน 1ท-3546 กรุงเทพมหานคร เข้าร่วมกับโจทก์แต่จำเลยได้ซื้อรถดังกล่าวมาจากนายวิชัย ไม่ทราบนามสกุล เพื่อขับเองในเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนให้นายประสาตร์เช่า จำเลยเคยเป็นสมาชิกของโจทก์แล้วลาออกจากการเป็นสมาชิก การลาออกต้องใช้ใบคำร้องเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 อันเป็นแบบฟอร์มของโจทก์จำเลยได้ลงลายมือชื่อโดยไม่ได้กรอกข้อความพนักงานของโจทก์จะเป็นผู้กรอกรายละเอียด จะถือว่าจำเลยตกลงเรื่องการรับผิดตามใบคำร้องนั้นไม่ได้ทั้งไม่ใช่เป็นการรับสภาพหนี้ ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่าจำเลยได้กระทำอย่างใดต่อโจทก์และอาศัยสิทธิเรียกร้องอะไร ทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง และโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 95,182.36 บาทแก่โจทก์ รวมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนต้นเงิน87,524 บาท ตั้งแต่วันฟ้อง (24 กันยายน 2534) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยในข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดตามเอกสารหมาย จ.4 หรือไม่เห็นว่า โจทก์และจำเลยในคดีนี้กับนายประสาตร์ ช้างสารเคยถูกนายชูทิตย์ ปานปรีชา ฟ้องเป็นจำเลยให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน 1ท-3546 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยซึ่งขับโดยนายประสาตร์ชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ค-1819กรุงเทพมหานคร ของนายชูทิตย์เสียหาย คดีถึงที่สุดตามคดีหมายเลขแดงที่ 6963/2528 ของศาลชั้นต้นโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นายประสาตร์และโจทก์ร่วมกันชำระเงิน54,407 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่นายชูทิตย์ ส่วนจำเลยศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน แม้โจทก์กับจำเลยคดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตาม ก็ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีก่อนด้วยคำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรกข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน แม้ในแบบพิมพ์คำร้องขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของโจทก์เอกสารหมาย จ.4 ซึ่งจำเลยลงชื่อจะมีข้อความว่าหากจำเลยหรือบุคคลที่จำเลยมอบหมายให้ขับรถยนต์แท็กซี่คันพิพาทได้กระทำละเมิดต่อบุคคลอื่น ทำให้โจทก์ต้องร่วมรับผิด และทางโจทก์มาทราบผลละเมิดภายหลังที่จำเลยได้ลาออกจากการเป็นสมาชิก จำเลยขอรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อโจทก์ทั้งสิ้นและขอสละข้อต่อสู้ต่าง ๆ ทั้งหมดในการที่โจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายก็ตาม เงื่อนไขตามเอกสารดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีละเมิดที่เกิดในระหว่างที่จำเลยเป็นสมาชิกและนำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าวิ่งร่วมกับโจทก์ตามสัญญารถร่วมด้วยเมื่อฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6963/2528 ของศาลชั้นต้นซึ่งถึงที่สุดและผูกพันโจทก์และจำเลยว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่พิพาทเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกันและจำเลยไม่ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์แล้ว โจทก์จะมาฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยตามเอกสารหมาย จ.4 หาได้ไม่
พิพากษายืน