แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีเรื่องโต้เถียงกับจำเลยที่6ต่อมาจำเลยที่6กับพวกรวมทั้งจำเลยที่5วิ่งไล่ทำร้ายผู้เสียหายและเข้าทำร้ายผู้ตายโดยเข้าใจว่าเป็นพวกผู้เสียหายการเข้ากลุ้มรุมทำร้ายเช่นนี้มิใช่ต่างคนมาพบและทำร้ายผู้ตายโดยลำพังแต่มีเจตนาวิ่งไล่ตามทำร้ายผู้เสียหายมาด้วยกันตั้งแต่แรกแล้วและเมื่อมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบก็วิ่งหนีไปด้วยกันย่อมฟังว่าจำเลยทุกคนมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากการร่วมกันทำร้ายนั้นแม้การกระทำของจำเลยที่5จะไม่อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ก็ตามจำเลยที่5ก็ย่อมต้องได้รับผลจากการตายของผู้ตายนั้นด้วยจำเลยที่5มิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายแต่การร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยที่5จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกกับพวกอีก 1 คน ชกต่อยและใช้เหล็กแป๊ปน้ำ ไม้ท่อน และขวดเป็นอาวุธตี ทุบ ขว้าง ทำร้ายนายบุญส่ง หน่อทองผู้เสียหาย และนายสุทธิศักดิ์ เดฟา ผู้ตายโดยเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 295, 83
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ให้การรับสารภาพว่า ทำร้ายร่างกายผู้ตายจริง แต่มิได้มีเจตนาฆ่า ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 จำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 3 จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 4 จำคุก1 ปี จำเลยที่ 5 จำคุก 10 ปี จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 295 ลงโทษตามมาตรา 288ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 13 ปี 4 เดือน ยกฟ้อง จำเลยที่ 2
จำเลย ที่ 5 และ ที่ 6 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุกจำเลยที่ 1และที่ 4 คนละ 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 เดือนจำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 6 กับพวกรวมทั้งจำเลยที่ 5 วิ่งไล่ทำร้ายผู้เสียหาย และต่อมาก็ได้เข้าทำร้ายผู้ตาย ก็คงจะเนื่องมาจากเข้าใจว่าผู้ตายเป็นพวกของผู้เสียหายการที่จำเลยที่ 6 และที่ 5 เข้ากลุ้มรุมทำร้ายผู้ตายเช่นนี้ มิใช่ต่างคนต่างมาพบและทำร้ายผู้ตายโดยลำพังแต่มีเจตนาวิ่งไล่ตามจะทำร้ายผู้เสียหายมาด้วยกันตั้งแต่ที่จำเลยที่ 6วิ่งไล่ตามผู้เสียหายแล้ว เมื่อจำเลยที่ 6 และที่ 5 กับพวกที่วิ่งมาพบผู้ตายจึงเข้าทำร้ายผู้ตาย และเมื่อมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบก็พากันวิ่งหนีไปด้วยกันเช่นกัน ย่อมฟังได้ว่าจำเลยที่ 5 กับพวกรวมทั้งจำเลยที่ 6 มีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากการร่วมกันทำร้ายนั้น แม้การกระทำของ จำเลยที่ 5จะไม่อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ก็ตาม แต่จำเลยที่ 5ก็ย่อมต้องได้รับผลจากการตายของผู้ตายนั้นด้วย จำเลยที่ 5มิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่การร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยที่ 5 จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรกที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 5 มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ให้จำคุก 4 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 5 ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์