แหล่งที่มา : ADMIN
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่1ตามคำพิพากษาเมื่อจำเลยที่1ยังไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่1มาขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้เสมอ จำเลยที่1เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าทรัพย์สินของจำเลยที่1ที่ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มีราคาเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษากว่าสิบเท่าเศษโจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยที่1มากเกินความจำเป็นจำเลยที่1จึงย่อมมีอำนาจร้องขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่1แต่พอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา284วรรคแรก โจทก์นำยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีซึ่งมิใช่กรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยที่1ผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา284วรรคสองชดใช้ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ3ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 376,200 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 364,800 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (4 มิถุนายน 2524) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์และให้จำเลยที่ 1ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คดีถึงที่สุดแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์คือ 1.ที่ดินโฉนดเลขที่ 4903 ตำบลสีลม (สาธร) อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 1 งาน 42 ตารางวา ราคาประมาณตารางวาละ15,000 บาท ทั้งแปลงเป็นเงิน 2,130,000 บาท 2.ที่ดินโฉนดเลขที่ 4902 ตำบลสีลม(สาธร) อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 1 งาน 42 ตารางวา ราคาประมาณตารางวาละ 15,000 บาท ทั้งแปลงเป็นเงินน 2,130,000 บาท 3.อาคารตึก 5 ชั้นขนาด 15×25เมตร เลขที่ 399/1 ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 4902 ราคา 500,000 บาท4. เรือนแถวครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น ขนาด 6×25 เมตร ราคา 20,000 บาท รวม 4 รายการเป็นเงิน 4,780,000 บาท จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่ยึดมีมูลค่ามากกว่าที่โจทก์ประเมินไว้มากและเกินกว่ามูลหนี้ตามคำพิพากษาถึงสิบกว่าเท่า เป็นการกลั่นแกล้งจำเลยที่ 1 ให้เสียหายและไม่ชอบ การยึดทรัพย์ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้มีคำสั่งถอนการยึดทรัพย์ทั้งหมดของจำเลยที่ 1 เสียโดยให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมถอนการยึดแทนจำเลยที่ 1 และให้เพิกถอนคำบังคับของโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า แม้โจทก์จะได้กระทำต่อจำเลยที่ 1 ดังที่จำเลยที่ 1อ้างก็ตาม แต่จำเลยหามีสิทธิที่จะร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดี เพราะกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างนั้น มิได้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 295 จำเลยมีสิทธิแต่เพียงนำกรณีดังกล่าวไปฟ้องร้องต่อศาลเป็นคดีเรื่องหนึ่งต่างหาก ขอให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่า โจทก์ยึดทรัพย์สินของจำเลยเกินกว่าพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษา ควรยึดทรัพย์ตามรายการที่ 1 กับที่ 4 ส่วนทรัพย์สินตามรายการที่ 2 และที่ 3 ควรถอนการยึด การที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ยึดทรัพย์สินของจำเลยเกินกว่าหนี้ที่จำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องรับผิดเมื่อมีการถอนการยึดจึงถือได้ว่าการยึดทรัพย์สินของโจทก์กระทำไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร โจทก์จะต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในอัตราร้อยละ 3 ครึ่งของราคาที่ยึดคือ 19,260,000 บาท เป็นเงิน 674,000 บาท จึงมีคำสั่งให้ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4902 ตำบลสีลม อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานคร และอาคารตึก5 ชั้น เลขที่ 399/1 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวโดยให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดแล้วไม่มีการขายเป็นเงิน 674,100 บาท โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินทียึดตารางวาละ 15,000 บาท กับทรัพย์สินที่ยึดอื่นอีกรวม 4 รายการเป็นเงิน4,780,000 บาทเป็นการสมควรแล้ว และควรให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมถอนการยึดจากราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมถอนการยึดเป็นเงิน 92,050 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ได้ไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคันหมายเลขทะเบียน ฉ.ข.01457 มาจากจำเลยที่ 2 และได้ขายให้แก่ผู้อื่นไปแล้วเป็นเงิน 250,000 บาท จึงไม่มีสิทธิมายึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้อีกนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษา เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 มาขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้เสมอ เรื่องที่โจทก์ยึดรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 เช่าซื้อไปขายนั้น ไม่เกี่ยวกับการบังคับคดีนี้ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจขอให้ศาลเพิกถอนการยึดทรัพย์นั้นเห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 วรรคแรก ความว่าเว้นแต่จะได้มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือศาลจะได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ห้ามมิให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในคดีและค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีอนึ่ง ถ้าได้เงินมาพอจำนวนที่จะชำระหนี้แล้ว ห้ามไม่ให้เอาทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดออกขายทอดตลาดหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่น คดีนี้ จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่า ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มีราคาเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษากว่าสิบเท่าเศษ โจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 มากเกินความจำเป็น ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงย่อมมีอำนาจร้องขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่พอสมควรได้ตามตัวบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้น ในปัญหาที่โจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เกินกว่าจำนวนหนี้หรือไม่นั้นศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่ที่ดินโฉนดเลขที่ 4903 และเรือนแถวครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น ติดจำนองธนาคารไทยทนุ จำกัด ซึ่งมีหนี้จำนองรวมเป็นเงิน 2,437,204 บาท 32 สตางค์ เมื่อคิดหักหนี้จำนองออก ทรัพย์สินทั้งสองรายการนี้จึงมีราคาไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้โจทก์ จึงเห็นสมควรให้ยึดที่ดินตามโฉนดเลขที่ 4902 เนื้อที่ 1 งาน 42 ตารางวาและอาคารตึก 5 ชั้น เลขที่ 399/1 ซึ่งมีราคาเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 4903 และเรือนแถวครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น สมควรถอนการยึด ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ค่าธรรมเนียมถอนการยึดโจทก์ไม่ควรต้องรับผิดนั้น เมื่อปรากฏว่า โจทก์นำยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดี ซึ่งมิได้กรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เจ้าหนี้คือโจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 วรรรคสอง จึงต้องรับผิดใช้ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายเป็นเงิน 75,250 บาท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4903 และเรือนแถวครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น แต่ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4902 กับอาคารตึก 5 ชั้น เลขที่ 399/1ของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์รับผิดเสียค่าธรรมเนียม เจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายเป็นเงิน 75,250 บาท