คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1600/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

รายการค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับเงินไม่มีชื่อผู้รับเงินมีแต่ใบสำคัญจ่ายแต่มิได้มีพยานหลักฐานนำสืบว่าได้จ่ายเงินไปจริงแม้เป็นจำนวนเงินเล็กน้อยก็จะรับฟังว่าเป็นความจริงหาได้ไม่. คำฟ้องโจทก์มิได้กล่าวถึงค่าถมทรายในปี2516ข้อเท็จจริงได้ความตามทางพิจารณาว่าเงินจำนวน1,705,287บาท45สตางค์เป็นรายรับของโจทก์ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเจ้าพนักงานของจำเลยที่1ประเมินรายรับขึ้นใหม่ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาสิ่งปลูกสร้างของกรมโยธาธิการและเงินจำนวน53,390บาทเป็นรายจ่ายที่โจทก์ลงบัญชีไว้ว่าเป็นค่าขนส่งแสดงว่าโจทก์หาได้ฟ้องว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบเพราะความจริงโจทก์มีรายจ่ายค่าถมทรายไม่การที่โจทก์นำสืบว่าได้จ่ายค่าถมทรายไปจึงเป็นการนอกฟ้อง โจทก์เพิ่งกล่าวอ้างว่ามีรายจ่ายค่าถมทรายในปี2517จำนวนเงินใกล้เคียงกับที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1ตรวจพบใบเสร็จฉบับแรกกรรมการโจทก์คนหนึ่งลงชื่อรับเงินฉบับที่2ไม่ปรากฏว่าผู้ใดรับเงินฉบับที่3ถึง5ลูกจ้างโจทก์เป็นผู้รับเงินและฉบับที่6บุคคลภายนอกซึ่งมีอาชีพรับจ้างคัดเหล็กเป็นผู้รับเงินทั้งที่โจทก์มีลูกจ้างไปซื้อทรายจากเรือเร่มาได้อยู่แล้วพยานหลักฐานโจทก์จึงมีพิรุธรับฟังไม่ได้แต่อย่างไรก็ดีเนื่องจากที่ดินที่โจทก์สร้างศูนย์การค้าเป็นที่ลุ่มต้องถมทรายก่อนทำการก่อสร้างจึงน่าเชื่อว่ามีรายจ่ายค่าซื้อทรายถมที่ดินในปี2517แต่ไม่เต็มตามที่อ้าง. ศาลมีอำนาจพิพากษาให้แก้ไขคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ถูกต้องโดยไม่จำเป็นต้องสั่งให้ทำการประเมินใหม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ทั้ง สอง ประเมิน ภาษี เงินได้ นิติบุคคล ของโจทก์ ใน ปี 2515 – 2517 เป็น เงิน 795,755 บาท 61 สตางค์ เงินเพิ่ม159,151 บาท 12 สตางค์ รวม ทั้งสิ้น 954,906 บาท 73 สตางค์ เป็น การไม่ ถูกต้อง ขอ ให้ ศาล พิพากษา เพิกถอน คำ วินิจฉัย อุทธรณ์ ของ จำเลยที่ แจ้ง ให้ โจทก์ เสีย ภาษี เงิน ได้ นิติบุคคล จำนวน ดังกล่าว
จำเลย ที่ 1 ให้การ ว่า พยาน หลักฐาน เกี่ยวกับ รายจ่าย ที่ โจทก์ นำมา แสดง ยัง รับ ฟัง ไม่ ได้ เป็น รายจ่าย ที่ ได้ จ่าย ไป จริง การประเมิน ของ เจ้าพนักงาน และ คำ วินิจฉัย อุทธรณ์ ของ คณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ จึง ชอบ ด้วย ข้อเท็จจริง และ ข้อกฎหมาย ขอ ให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง จำหน่าย คดี สำหรับ จำเลย ที่ 2 เพราะ โจทก์ ทิ้งฟ้อง และ วินิจฉัย ว่า จำเลย ที่ 1 เคย ยอม ให้ โจทก์ หัก ร้อยละ 50ของ รายรับ ที่ เพิ่มขึ้น ได้ ซึ่ง โจทก์ อ้าง ว่า ได้ เสีย เงิน ค่าถม ทราย ไป 1,280,000 บาท แสดงว่า โจทก์ พิสูจน์ ได้ ว่า รายจ่าย ค่าถม ทราย มี จริง จึง เห็นควร กำหนด ว่า โจทก์ พิสูจน์ รายจ่าย ใน การถม ทราย ได้ 140,000 บาท พิพากษา ให้ เพิกถอน การ ประเมิน และ คำวินิจฉัย อุทธรณ์ ของ คณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ เลขที่ 88/2525 โดยให้ โจทก์ นำ รายจ่าย ที่ พิสูจน์ ได้ จำนวน 640,000 บาท ไป เป็นรายจ่าย ใน การ คำนวณ กำไร สุทธิ ค่าฤชา ธรรมเนียม ค่า ทนายความ ให้เป็น พับ
โจทก์ และ จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่า เมื่อ ฟัง ว่า การ ประเมิน และ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ ของ ปี 2515 และ 2516 เป็น ไป โดย ชอบ แล้ว ก็ ไม่ ชอบ ที่ศาลชั้นต้น จะ พิพากษา ให้ เพิกถอน การ ประเมิน และ คำวินิจฉัย อุทธรณ์ดังกล่าว เสีย ด้วย พิพากษา แก้ เป็น ว่า ให้ เพิกถอน คำวินิจฉัยอุทธรณ์ ของ คณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ เลขที่ 88/2525 เฉพาะ ใน รอบระยะเวลา บัญชี ปี 2517 นอกจาก ที่ แก้ คง ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ ค่าฤชา ธรรมเนียม ชั้นอุทธรณ์ เป็น พับ
โจทก์ และ จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ‘… ใน รอบ ระยะ เวลา บัญชี ปี 2515 มี รายจ่ายที่ ลง ไว้ ใน บัญชี 6 รายการ คือ ค่า ซื้อ เครื่องปรับอากาศ 11,000บาท อุปกรณ์ ก่อสร้าง 120 บาท ทราย ถมที่ 11,096 บาท 81 สตางค์ ทรายโบก4,998 บาท ทราย หยาบ 5,200 บาท และ ทราย หยาบ 4,000 บาท รวม 36,414บาท 81 สตางค์ เป็น รายการ ที่ ไม่ มี ใบเสร็จรับเงิน ไม่ มี ชื่อผู้รับเงิน มี แต่ ใบสำคัญจ่าย ของ โจทก์ ปรากฏ ว่า ใน ชั้น พิจารณาคดี นี้ โจทก์ มิได้ มี พยานหลักฐาน นำสืบ ว่า ได้ จ่าย เงิน ตาม รายการดังกล่าว ไป จริง แต่ อย่างใด จะ อ้าง ว่า เป็น จำนวน เงิน เล็กน้อยแล้ว ควร รับ ฟัง เป็น ความจริง หา ชอบ ด้วย กฎหมาย ไม่ จึง ฟัง ไม่ได้ ว่า การ ประเมิน ของ เจ้าพนักงาน ประเมิน และ คำวินิจฉัย อุทธรณ์ของ คณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ ไม่ ชอบ ด้วย กฎหมาย ดัง โจทก์กล่าวอ้าง ฎีกา โจทก์ ข้อ นี้ ฟัง ไม่ ขึ้น
โจทก์ บรรยาย ฟ้อง ว่า ที่ จำเลย อ้าง ว่า ใน รอบ ระยะ เวลา บัญชีตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2516 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2516 โจทก์ นำรายได้ ลง บัญชี ต่ำ ไป 1,705,287 บาท 45 สตางค์ ความจริง รายได้ จำนวนนี้ ไม่ มี เพราะ โจทก์ ไม่ เคย ได้ รับ เพราะ เงิน จำนวน นี้ เป็นรายจ่าย ที่ โจทก์ จ่าย เป็น ค่า วัสดุก่อสร้าง ค่า แรงงาน ชั่วคราวใน การ ก่อสร้าง ซึ่ง จำเลย อ้าง ว่า โจทก์ ไม่ ได้ จ่าย จึง ให้ ถือเป็น รายรับ จึง เป็น การ ไม่ ถูกต้อง และ ที่ จำเลย อ้าง ว่า รายจ่ายที่ พิสูจน์ ไม่ ได้ อีก จำนวน 53,390 บาท ไม่ ถือ ว่า เป็น รายจ่ายนั้น ก็ ไม่ ถูกต้อง เพราะ ความจริง โจทก์ ได้ จ่าย ไป จริง และ เป็นรายจ่าย ที่ โจทก์ พิสูจน์ ได้ ทั้งสิ้น ดังนี้ คำฟ้อง ของ โจทก์ ที่โต้แย้ง การ ประเมิน สำหรับ ปี 2516 มิได้ กล่าวถึง ค่า ถมทราย แต่อย่างใด นอกจาก นั้น ข้อเท็จจริง ได้ ความ ตาม ทาง พิจารณา ว่า จำนวนเงิน 1,705,287 บาท 45 สตางค์ นั้น เป็น รายรับ ของ โจทก์ ใน ปี 2516ที่ เพิ่มขึ้น เนื่องจาก เจ้าพนักงาน ของ จำเลย ที่ 1 ประเมิน รายรับขึ้น ใหม่ ตาม หลักเกณฑ์ การ คำนวณ ราคา สิ่งปลูกสร้าง ของ กรมโยธาธิการ ส่วน จำนวน เงิน 53,390 บาท ก็ เป็น รายจ่าย ที่ โจทก์ ลง บัญชี ไว้ว่า เป็น ค่า ขนส่ง แสดง ให้ เห็น ชัดเจน ว่า สำหรับ ปี 2516 โจทก์หา ได้ ฟ้อง ว่า การ ประเมิน และ คำ วินิจฉัย อุทธรณ์ ไม่ ชอบ เพราะความจริง โจทก์ มี รายจ่าย ค่า ถมทราย ไม่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่าการ ที่ โจทก์ นำสืบ ว่า ใน ปี 2516 โจทก์ ได้ จ่าย ค่า ถมทราย ไป ตามใบเสร็จ 7 ฉบับ เป็น การ นอก ฟ้อง ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วย ฎีกา โจทก์ข้อ นี้ ฟัง ไม่ ขึ้น
สำหรับ รายจ่าย ของ โจทก์ ใน ปี 2517 โจทก์ ได้ นำ ใบเสร็จรับเงินค่า ทราย มา แสดง ซึ่ง ใบเสร็จ 6 ฉบับแรก เป็น ค่า ซื้อ ทราย ใน ปี2517 รวม เป็น เงิน 1,280,000 บาท โดย ฉบับแรก นาย ประกิจเรืองปัญญาพจน์ กรรมการ บริษัท โจทก์ คนหนึ่ง ลงชื่อ เป็น ผู้ รับเงินฉบับ ที่ สอง ไม่ ปรากฏ ชัด ว่า ผู้ใด เป็น ผู้ รับเงิน ฉบับ ที่ 3ที่ 4 ที่ 5 นาย ปัง แซ่เล้า ลูกจ้าง โจทก์ เป็น ผู้ รับเงิน ฉบับ ที่6 นาย อดุลย์ เลิศประเสริฐศิลป์ เป็น ผู้ รับเงิน เห็นว่า ค่า ซื้อ ทรายดังกล่าว นี้ โจทก์ เพิ่ง กล่าวอ้าง ขึ้น มี จำนวน ใกล้เคียง กับ รายรับที่ เจ้าหน้าที่ ของ จำเลย ที่ 1 ตรวจพบ ทั้ง นาย ประกิจ และ นาย ปังเป็น กรรมการ และ ลูกจ้าง ของ โจทก์ เอง ส่วน นาย อดุลย์ แม้ มิใช่ลูกจ้าง โจทก์ แต่ ก็ มี อาชีพ ทำ การ รับจ้าง ดัดเหล็ก และ โจทก์ มีลูกจ้าง ไป ซื้อ ทราย จาก เรือเร่ มา ให้ ได้ อยู่ แล้ว ไม่ มี เหตุที่ จะ ให้ นาย อดุลย์ ไป ซื้อ ทราย จาก เรือเร่ มา ขาย เอา กำไร จากโจทก์ อีก พยานหลักฐาน โจทก์ ใน เรื่อง การ ซื้อ ทราย 1,280,000 บาทจึง มี พิรุธ รับ ฟัง ไม่ ได้ ที่ โจทก์ ฎีกา อ้างว่า เมื่อ เจ้าหน้าที่ของ จำเลย เรียกเก็บ เงิน ได้ จาก ผู้ รับเงิน ดังกล่าว แล้ว ต้อง ฟังว่า โจทก์ ได้ จ่าย ค่า ซื้อ ทราย ไป จริง นั้น เห็นว่า เป็น เหตุ ที่เกิดขึ้น ภายหลัง ทั้ง เป็น คนละ เรื่อง กัน จะ นำ มา สนับสนุน ข้ออ้างของ โจทก์ มิได้ อย่างไร ก็ ดี ปรากฏ ว่า ใน ชั้น ตรวจสอบ จำเลย ที่1 เคย ยอม ให้ โจทก์ หัก ค่า ถมทราย เป็น รายจ่าย ได้ ร้อยละ 50 ของรายรับ ที่ เพิ่มขึ้น ทั้ง โจทก์ ก็ มี พยานหลักฐาน มา นำสืบ แสดงว่าที่ดิน ที่ โจทก์ สร้าง ศูนย์การค้า เป็น ที่ลุ่ม โจทก์ ต้อง ถมทรายก่อน จึง ทำการ ก่อสร้าง จำเลย ที่ 1 ก็ มิได้ โต้เถียง ความ ข้อนี้แต่ อย่างใด เชื่อว่า โจทก์ มี รายจ่าย ค่า ซื้อ ทราย ถม ที่ดิน ใน ปี2517 แต่ ไม่ เต็ม ตาม ที่ อ้าง ที่ ศาลอุทธรณ์ เห็น สมควร ให้ โจทก์หัก เป็น รายจ่าย เพียง ร้อยละ 50 ของ จำนวน เงิน 1,280,000 บาท เป็นเงิน 640,000 บาท ดัง ศาลชั้นต้น วินิจฉัย ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วยฎีกา โจทก์ และ จำเลย ที่ 1 ข้อ นี้ ฟัง ไม่ ขึ้น
จำเลย ที่ 1 ฎีกา เป็น ข้อ สุดท้าย ว่า หาก ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วย กับคำพิพากษา ของ ศาลอุทธรณ์ ก็ ขอ ให้ คำพิพากษา ให้ จำเลย ที่ 1 ประเมินภาษี โจทก์ สำหรับ รอบ ระยะเวลา บัญชี ปี 2517 ใหม่ เสีย ด้วย ข้อ นี้ศาลอุทธรณ์ พิพากษา แก้ ให้ เพิกถอน คำวินิจฉัย อุทธรณ์ ของ คณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ เลขที่ 88/2525 เฉพาะ ใน รอบ ระยะเวลา บัญชี ปี 2517นอกจาก ที่ แก้ ให้ คง ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น และ ศาลชั้นต้น ก็พิพากษา ไว้ แล้ว ว่า ให้ โจทก์ นำ รายจ่าย ที่ พิสูจน์ ได้ จำนวน640,000 บาท ไป เป็น รายจ่าย ใน การ คำนวณ กำไร สุทธิ ได้ ดังนี้ เป็นการ แก้ไข คำวินิจฉัย อุทธรณ์ เป็น ให้ โจทก์ นำ รายจ่าย 640,000 บาท มาหัก เป็น รายจ่าย ใน การ คำนวณ กำไร สุทธิ แล้ว โจทก์ มี หน้าที่ ต้องเสีย ภาษี เงินได้ นิติบุคคล ปี 2517 ตาม จำนวน ที่ คำนวณ โดย หักรายจ่าย ดังกล่าว เป็น การ ชำระ ตาม หนังสือ แจ้ง การ ประเมิน แต่แก้ไข ให้ ถูกต้อง ตาม คำพิพากษา จำเลย ที่ 1 หา ต้อง ทำ การ ประเมินใหม่ ไม่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษา มา ชอบ แล้ว ฎีกา โจทก์ และ จำเลย ที่ 1ทุก ข้อ ฟัง ไม่ ขึ้น’
พิพากษา ยืน ค่าฤชา ธรรมเนียม ชั้น ฎีกา ให้ เป็น พับ

Share