คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่1เป็นพนักงานโรงฆ่าสัตว์ของเทศบาลมีหน้าที่ควบคุมการฆ่าสัตว์ให้ถูกต้องและเป็นไปตามใบควบคุมอาชญาบัตรไม่ควบคุมตรวจนับการฆ่าสุกรเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแต่ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายคือเทศบาลนั้นทางนำสืบพยานโจทก์ได้ความว่าเทศบาลไม่ได้รับความเสียหายประชาชนเป็นผู้ที่อาจได้รับความเสียหายจากการแพร่โรคจากสุกรที่ฆ่าโดยมิได้ตรวจโรคก่อนซึ่งเป็นการนำสืบนอกคำฟ้องการกระทำของจำเลยที่1จึงไม่เป็นความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาล ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่1มิได้เป็นผู้สั่งฆ่าหรือจัดการฆ่าจำเลยที่1จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่2ฆ่าสุกรตามฟ้องโจทก์มิได้อุทธรณ์ข้อหาตามความผิดนี้ย่อมยุติโจทก์ฎีกาไม่ได้ว่าจำเลยที่1ร่วมกับจำเลยที่2ฆ่าสุกร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานโรงฆ่าสัตว์ของเทศบาลมีหน้าที่ควบคุมการฆ่าสัตว์ให้ถูกต้องและเป็นไปตามใบควบคุมอาชญาบัตรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยการให้จำเลยที่ 2 นำสุกร 1 ตัวที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่า เข้ามาในโรงฆ่าสัตว์โดยไม่ผ่านขั้นตอนการนำสุกรไปยังโรงฆ่าสัตว์ และตรวจโรคเสียก่อน เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่งานของเทศบาล และจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และนายรำพัน ปักษาฆ่าสุกรในโรงฆ่าสัตว์นอกวันเวลาที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2502มาตรา 8, 18 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 83, 84, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้จำคุก 1 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2502มาตรา 8, 18 จำคุก 1 เดือนปรับ 500 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 1 ปี คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 โดยวินิจฉัยว่า ตามทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 1ได้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่โจทก์ฎีกาว่าช่วงเวลาระหว่าง 24นาฬิกาถึง 6 นาฬิกา เป็นเวลาฆ่าสุกร จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ตรวจนับตลอดจนควบคุมการฆ่าสุกรให้ถูกต้องและเป็นไปตามใบควบคุมอาชญาบัตรใบอนุญาตฆ่าสัตว์ จำเลยกลับไปนอนไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ และได้ความจากพยานโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำสุกรตัวที่เกินมานั้นเข้ามาในโรงฆ่าสัตว์ เมื่อนายสาราสัตวแพทย์ตรวจพบจำเลยที่ 1 ก็เอาอาชญาบัตรของสุกรตัวที่เกินมาให้ดู ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 รับสารภาพว่าได้ร่วมกันฆ่าสุกรโดยไม่ได้รับอนุญาตพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยที่ 1 รู้เห็นในการฆ่าสุกร เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาลเมืองศรีสะเกษและประชาชน และเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้สำหรับตนเองและจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า ฟ้องโจทก์บรรยายถึงตัวผู้เสียหายที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 แต่เพียงว่าผู้เสียหายคือเทศบาลเมืองศรีสะเกษ หาได้กล่าวถึงประชาชนผู้บริโภคเนื้อสุกรไว้แต่ประการใด ซึ่งนายสารา จารุภูมิ สัตวแพทย์พยานโจทก์เบิกความว่า กรณีนี้ทางเทศบาลเมืองศรีสะเกษไม่ได้รับความเสียหายเลย และไม่ปรากฏจากคำเบิกความของนายสันติ พลินจารนันท์ปลัดเทศบาลเมืองศรีสะเกษในขณะเกิดเหตุ และร้อยตำรวจเอกบุญยังจันทร์อบ พนักงานสอบสวนคดีนี้ว่า ที่มีการฆ่าสุกรตัวที่เกิดเหตุทำให้เทศบาลเมืองศรีสะเกษขาดรายได้หรือประโยชน์อื่นใดอีก เชื่อว่าการฆ่าสุกรตัวที่เกิดเหตุทางเทศบาลเมืองศรีสะเกษไม่ได้รับความเสียหาย ที่โจทก์นำนายสาราเข้าสืบว่าประชาชนอาจได้รับความเสียหายจากการแพร่โรคจากสุกรที่ฆ่าโดยมิได้ตรวจโรคก่อน เป็นการนำสืบนอกคำฟ้องรับฟังเป็นหลักฐานในคดีนี้ไม่ได้ เมื่อฟังว่าทางเทศบาลเมืองศรีสะเกษไม่ได้รับความเสียหายกรณีนี้ดังกล่าวแล้วการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาลเมืองศรีสะเกษ แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นการทุจริตหรือไม่นั้นไม่ปรากฏจากคำเบิกความของนายบรรยงขันตี เลยว่า ภายหลังที่นายสารากลับจากการตรวจนับสัตว์แล้ว จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำสุกรนั้นเข้าไปในโรงฆ่าสัตว์ดังที่นายสาราเบิกความกลับได้ความว่า ในวันก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กับนายบรรยงตรวจพบสุกรเกินไป 1 ตัวได้ช่วยกันไล่สุกรนั้นออกไปจากที่พักสัตว์ของโรงฆ่าและระยะเวลานับแต่นายสาราตรวจนับสัตว์ในโรงพักสัตว์จนถึงเวลาราว3 นาฬิกาของวันเกิดเหตุ ไม่มีผู้ใดไปที่โรงฆ่าสัตว์นอกจากนายสารากับสิบตำรวจตรีอักษรศิลป์พยานโจทก์ เท่ากับยืนยันว่าจำเลยที่ 1มิได้ไปที่โรงฆ่าสัตว์ ภายหลังที่นายสารากลับจากการตรวจนับสัตว์จนถึงเวลา 3 นาฬิกาของวันเกิดเหตุ…ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 รับชั้นจับกุมว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ฆ่าสุกรตัวที่เกิดเหตุเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้สั่งฆ่าหรือจัดการฆ่าจำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 2 ฆ่าสุกรตามฟ้องโจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อหาตามความผิดนี้ย่อมยุติและคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้สั่งฆ่าหรือจัดการฆ่าสุกรตัวที่เกิดเหตุและมิได้เป็นตัวการในการกระทำความผิดกรณีนี้ด้วย ประกอบกับในวันเดียวกันกับวันที่จำเลยที่ 1 ถูกจับกุมนั้นเอง จำเลยที่ 1 ก็ได้ปฏิเสธข้อหาเดียวกันนี้ในชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนข้อความที่ระบุว่าจำเลยที่ 1 รับในชั้นจับกุมจึงไม่อาจรับฟังเป็นหลักฐานในคดีนี้ได้สำหรับในข้อที่จำเลยที่ 1 แสดงอาชญาบัตรแก่นายสารา ก็มิใช่พฤติการณ์ที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้รบประโยชน์ใด ๆ จากการนั้น หรือกระทำเพื่อให้จำเลยที่ 2 ได้รับประโยชน์จากการนั้น เมื่อปรากฏชัดว่าสุกรตัวที่เกิดเหตุก็มมีอาชญาบัตร ที่จำเลยที่ 1 แสดงอาชญาบัตรน่าจะเป็นเพียงนำมาเป็นหลักฐานในการแก้ตัว เพื่อให้ตนพ้นจากความรับผิดชอบกรณีไม่อยู่ควบคุมดูแลการฆ่าสุกรเท่านั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยทุจริตที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share