แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยคดีว่า พฤติการณ์ของจำเลยร่วมที่ถูก อ.ภรรยา ข. ครูร่วมโรงเรียนใช้ถุงกระดาษใส่ผ้าปาในบริเวรโรงเรียนและถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับ ข.นั้น คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของและผู้รับอนุญาตประกอบกิจการโรงเรียนเลิกจ้างจำเลยร่วม โดยขัดต่อบทบัญญัติในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 หรือไม่ อันเป็นการตกลงกันขอให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นเพียงว่า คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยร่วมโดยขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 123 ได้ หรือไม่เป็นข้อแพ้ชนะเท่านั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ขณะเลิกจ้างจำเลยร่วมเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน และคำชี้ขาดยังมีผลใช้บังคับอยู่จำเลยร่วมจึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา123 และแม้กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นของบทกฎหมายดังกล่าว เหตุเลิกจ้างจำเลยร่วมก็มีเหตุอันสมควรอื่นที่จะเลิกจ้างได้ มิใช่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมจึงเป็นการวินิจฉัยที่นอกเหนือไปจากข้อตกลงของคู่ความ
ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 มาตรา 78 คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานไม่มีอำนาจออกคำสั่งอนุญาต หรือไม่อนุญาตให้ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเลิกจ้างครูผู้เป็นลูกจ้างได้ ที่คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานได้ประชุมมีมติว่าหากเจ้าของโรงเรียนเห็นว่าพฤติการณ์ของครูทั้งสองไม่เหมาะสมที่จะให้เป็นครูของโรงเรียนต่อไป ก็เป็นสิทธิของเจ้าของโรงเรียนที่จะเลิกจ้างได้เป็นเพียงข้อเสนอแนะไม่ใช่คำสั่งอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลย เช่นนี้ ศาลไม่อาจพิจารณาชี้ขาดตามที่คู่ความได้ตกลงกันขอให้วินิจฉัย จึงจำต้องพิจารณาและพิพากษาต่อไปตามรูปคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของโรงเรียนดุสิตพาณิชยการ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ เป็นกรรมการในคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๘ โจทก์ได้เลิกจ้างนางสาวสุนี เมฆมงคลชัย ครูในโรงเรียนดุสิตพาณิชยการเนื่องจากได้ประพฤติตนในทำนองชู้สาวกับนายขวัญชัย มหาคีตะ ครูในโรงเรียนเดียวกันจนถูกภรรยาของนายขวัญชัยต่อว่าและทำร้ายร่างกายในบริเวณโรงเรียนต่อหน้านักเรียนและครูคนอื่น เป็นเหตุให้เสื่อมเสียแก่ชื่อเสียงของโรงเรียนและเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ ได้มีคำสั่งให้โจทก์รับนางสาวสุนีกลับเข้าทำงานหรือจ่ายค่าเสียหาย โดยอ้างว่าการเลิกจ้างนางสาวสุนีเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมิได้วินิจฉัยว่านางสาวสุนีเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานซึ่งได้เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องหรือไม่ คงวินิจฉัยเพียงว่าโจทก์เลิกจ้างนางสาวสุนีในขณะที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดมีผลบังคับ ซึ่งความจริงนางสาวสุนีไม่ได้เป็นผู้เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องแต่ประการใด ค่าเสียหายที่กำหนดก็ไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ตามกฎหมายและมีจำนวนสูงเกินไป ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ ๓๙/๒๕๒๘ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๘ ของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๓
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ ให้การว่านางสาวสุนี เมฆมงคลชัย เป็นกรรมการสหภาพแรงงาน ครูโรงเรียนเอกชนแห่งประเทศไทย นางสาวสุนีได้ประพฤติผิดจรรยามารยาทวินัยของครู ขณะโจทก์เลิกจ้างนางสาวสุนีนั้นยังอยู่ในระหว่างการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามที่สหภาพแรงงานครูโรงเรียนเอกชนแห่งประเทศไทยได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อโจทก์ ซึ่งคำวินิจฉัยยังมีผลใช้บังคับนางสาวสุนีจึงได้รับความคุ้มครองมิให้ถูกเลิกจ้าง จำนวนค่าเสียหายชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ นางสาวสุนี เมฆมงคลชัย ร้องขอเป็นจำเลยร่วมศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาต และขอให้ถือเอาคำให้การของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ เป็นคำให้การของจำเลยร่วมด้วย ในวันนัดสืบพยานจำเลยและจำเลยร่วม โจทก์แถลงว่าโจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยร่วมกับนายขวัญชัยเป็นชู้กันจริงหรือไม่ เหตุที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยร่วมเพราะนางอรอนงค์ มหาคีตะ ภรรยานายขวัญชัยใช้ถุงกระดาษใส่ผ้าปาจำเลยร่วมในบริเวณโรงเรียนและกล่าวหาว่าเป็นชู้กับสามี โจทก์จึงขออนุญาตเลิกจ้างจำเลยร่วมต่อคณะกรรมการคุ้มครองการทำงาน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วโจทก์จึงเลิกจ้างจำเลยร่วม และจำเลยกับจำเลยร่วมแถลงว่านางอรอนงค์ได้ใช้ถุงกระดาษปาจำเลยร่วมและกล่าวหาต่อผู้อำนวยการโรงเรียนดุสิตพาณิชยการและโจทก์ได้เลิกจ้างจำเลยร่วมโดยได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานจริง โจทก์ จำเลยกับจำเลยร่วมจึงขอให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ตามพฤติการณ์ที่นางอรอนงค์กระทำการและกล่าวหาจำเลยร่วมดังกล่าวนั้น คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยร่วมโดยขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๓ หรือไม่จึงให้งดสืบพยานจำเลยและจำเลยร่วม
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งที่ ๓๙/๒๕๒๘ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๘ ของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๓
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ และจำเลยร่วมอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยร่วมนี้ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา๑๒๓ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และมิใช่เป็นกรณีร้ายแรง การเลิกจ้างของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้วได้ความว่า เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ศาลแรงงานกลางได้สอบข้อเท็จจริงจากคู่ความแล้วคู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยคดีว่าพฤติการณ์ของจำเลยร่วมที่ถูกนางอรอนงค์กระทำดังกล่าวและถูกกล่าวหานั้น คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยร่วมโดยขัดต่อบทบัญญัติในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๓ หรือไม่ จึงเห็นได้ว่า คู่ความต่างตกลงขอให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นเพียงว่า คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ มีอำนาจอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยร่วมโดยขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๓ ได้หรือไม่เป็นข้อแพ้ชนะเท่านั้นดังนั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ขณะเลิกจ้าง จำเลยร่วมเป็นกรรมการสหภาพแรงงานและคำชี้ขาดยังมีผลใช้บังคับอยู่ จำเลยร่วมจึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๓ และแม้กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นของบทกฎหมายดังกล่าว เหตุเลิกจ้างจำเลยร่วมก็มีเหตุอันสมควรอื่นที่จะเลิกจ้างได้ มิใช่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม กรณีจึงเป็นการวินิจฉัยที่นอกเหนือไปจากข้อตกลงของคู่ความดังกล่าวมาแล้ว ปัญหาว่า คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ มีอำนาจอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยร่วมโดยขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๓ ได้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๗๘ คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานไม่มีอำนาจออกคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเลิกจ้างครูผู้เป็นลูกจ้างได้ ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานก็คงได้ทราบถึงอำนาจของตนที่มีอยู่ตามกฎหมายนี้แล้ว เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชนจึงได้มีหนังสือด่วนมาก ที่ ศธ ๑๐๐๑/๑๐๓๓๓ ลงวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๗ เอกสารหมาย จ.๑ แจ้งมติคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานว่า คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานได้ประชุมมีมติว่า หากเจ้าของโรงเรียนเห็นว่า พฤติการณ์ของครูทั้งสอง (คือจำเลยร่วมกับนายขวัญชัย มหาคีตะ) ไม่เหมาะสมที่จะให้เป็นครูของโรงเรียนต่อไปก็เป็นสิทธิของเจ้าของโรงเรียนที่จะเลิกจ้างได้ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะ ดังนั้น คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานจึงหาได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยแต่ประการใดไม่ เมื่อกรณีเป็นเช่นนี้ศาลก็ไม่อาจพิจารณาชี้ขาดตามที่คู่ความได้ตกลงกันขอให้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า คณะกรรมการคุ้มครองการทำงานมีอำนาจอนุญาตสั่งให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยร่วมโดยขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๓ ได้หรือไม่นั้นได้จึงจำต้องพิจารณาและพิพากษาต่อไปตามรูปคดี
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาต่อไปตามนัยดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี