เรื่อง ซื้อขาย ค้ำประกัน
ใช้เวลาอ่านประมาณ 1 นาที
สัญญาตามเอกสาร จ.4 เป็นสัญญาซื้อขายแบบมีเงื่อนไขบังคับ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามเงื่อนไข คือ ได้ชำระราคาแก่ผู้ขายครบถ้วนแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 สัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความแสดงให้เห็นว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อที่เจ้าของทรัพย์เอาทรัพย์สินออกให้เช่า และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 572 อันว่าด้วยลักษณะเช่าซื้อแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อ
ตามสัญญาซื้อขายแบบมีเงื่อนไข ข้อ 33 ระบุว่า “…ในกรณีที่สัญญาฉบับนี้ได้มีการบอกเลิกสัญญา หรือสิ้นสุดลงตามกฎหมาย ผู้ซื้อจะต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ณ ภูมิลำเนาของผู้ขายด้วยค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อ พร้อมทั้งชำระค่าเสียหาย หนี้สินที่ค้างชำระให้ผู้ขาย และจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าขาดประโยชน์ ค่าซ่อม หรือค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินที่ซื้อ… รวมทั้งไม่ตัดสิทธิผู้ขายที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายต่าง ๆ หากมีขึ้นหรือเพิ่มขึ้น” สัญญาดังกล่าวเป็นข้อตกลงโดยความสมัครใจของคู่สัญญาและข้อกำหนดดังกล่าวเป็นการรักษาผลประโยชน์ของผู้ขายมิให้เสียหายเกินความจำเป็นเมื่อผู้ซื้อผิดข้อตกลงดังกล่าว และหาทำให้อิสระในการแสดงเจตนาทำสัญญาซื้อขายโดยมีเงื่อนไข ให้กลับกลายแปรเปลี่ยนเป็นสัญญาเช่าซื้อไม่ จึงไม่ต้องนำหลักเกณฑ์ในเรื่อง
ค่างวดที่ต้องชำระ 3 งวดติดต่อกัน และในเรื่องมีหนังสือบอกเลิกสัญญาตามแบบสัญญาเช่าซื้อมาใช้บังคับ เมื่อจำเลยที่ 1 ยินยอมส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์ จึงถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 มีเจตนาเลิกสัญญาโดยปริยาย สัญญาย่อมเป็นอันสิ้นสุด โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่เป็นค่าขาดราคาและค่าติดตามทวงถามจากจำเลยที่ 1 รวมถึง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันและเป็นลูกหนี้ร่วมได้