คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5048-5049/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลฎีกาสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 สิงหาคม 2561 ว่า ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นเรียกคู่ความทั้งสองฝ่ายมาสอบถามราคาทรัพย์ทั้งหมดตามพินัยกรรมและให้จำเลยทั้งสามชำระค่าขึ้นศาลทั้งสองสำนวนให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด มิฉะนั้นให้ส่งสำนวนและคำพิพากษาคืนศาลฎีกา ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2561 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสามชำระค่าขึ้นศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันดังกล่าว จำเลยทั้งสามทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว แต่เพิกเฉยไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือว่าจำเลยทั้งสามทิ้งฟ้องฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์มรดกทั้งหมดของเจ้ามรดกในอัตราส่วนที่เท่ากัน (ยกเว้นที่ตึกตรงที่ดินจัดสรร) ตามข้อกำหนดในพินัยกรรมของเจ้ามรดกฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2549 ให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิและหน้าที่ในทรัพย์มรดกดังกล่าวตามกฎหมาย ห้ามมิให้บุคคลอื่นที่ไม่มีสิทธิใด ๆ ตามกฎหมายเข้าเกี่ยวข้องในทรัพย์มรดกที่โจทก์ทั้งสองได้รับ ให้ขับไล่จำเลยทั้งสามตลอดจนวงศ์ญาติและบริวารออกจากที่ดินและบ้านเลขที่ 21/13 หมู่ที่ 1 ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งตั้งอยู่บนโฉนดเลขที่ 25856 และ 25857 อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ที่ดินและอาคารชื่อ ส.ธนากิตติ์แมนชั่น เลขที่ 123 หมู่ที่ 6 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่บนโฉนดเลขที่ 88205 ที่ดินและอาคารบนโฉนดเลขที่ 98198 ที่ดินและอาคารเลขที่ 127 ตั้งอยู่บนโฉนดเลขที่ 46093 อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี พร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สิน คนงาน และสิ่งของต่าง ๆ ของจำเลยทั้งสามตลอดจนวงศ์ญาติและบริวารออกจากที่ดินและอาคารมรดกดังกล่าว ให้จำเลยทั้งสามตลอดจนวงศ์ญาติและบริวารส่งมอบที่ดินและอาคารทั้งหมดข้างต้นคืนแก่โจทก์ทั้งสองในสภาพเรียบร้อย ห้ามมิให้จำเลยทั้งสามตลอดจนวงศ์ญาติและบริวารรบกวนการครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ในทรัพย์มรดกดังกล่าวของโจทก์ทั้งสอง หรือทรัพย์มรดกอื่น ๆ ที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับตามพินัยกรรมของผู้ตาย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบเงินดอกผลในทรัพย์มรดกที่จำเลยทั้งสามตลอดจนวงศ์ญาติและบริวารได้รับไปเป็นเงิน 950,000 บาท คืนแก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นในสำนวนแรกให้ยกและให้ยกฟ้องสำนวนที่สอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามไม่ต้องร่วมกันคืนเงินให้โจทก์ทั้งสอง 950,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์ทั้งสองเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลฎีกาสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 สิงหาคม 2561 ว่า ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นเรียกคู่ความทั้งสองฝ่ายมาสอบถามราคาทรัพย์ทั้งหมดตามพินัยกรรมและให้จำเลยทั้งสามชำระค่าขึ้นศาลทั้งสองสำนวนให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด มิฉะนั้นให้ส่งสำนวนและคำพิพากษาคืนศาลฎีกา ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2561 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสามชำระค่าขึ้นศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันดังกล่าว จำเลยทั้งสามทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว แต่เพิกเฉยไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือว่าจำเลยทั้งสามทิ้งฟ้องฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม) ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ

Share