แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงยุติว่าก่อนเวลานัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย รถยนต์ที่ทนายความจำเลยที่ 1 ขับมาศาลเครื่องยนต์ไม่ทำงานเนื่องจากสายพานระบบไฟฟ้าขาด ไม่สามารถเดินทางมาทันกำหนด ทนายจำเลยที่ 1 โทรศัพท์แจ้งเหตุขัดข้องให้เจ้าหน้าที่ศาล โจทก์และทนายโจทก์ทราบแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีความจำเป็นที่ไม่อาจมาศาลได้ตามกำหนด เป็นการสมควรให้เพิกถอนคำสั่งศาลแรงงานภาค 2 ที่สั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัด อันมีผลให้ศาลแรงงานภาค 2 ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำหลังจากที่มีคำสั่งนั้นใหม่เสมือนหนึ่งมิเคยมีกระบวนพิจารณาเช่นว่านั้นตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 41
เมื่อเพิกถอนคำสั่งที่ว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดแล้ว ข้อโต้แย้งตามคำพิพากษาของศาลแรงงานภาค 2 จึงหมดไป ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 อีกต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้ารับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่ง ค่าจ้างและสวัสดิการเดิมหรือไม่ต่ำกว่าเดิม และให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างระหว่างที่ถูกเลิกจ้างเสมือนหนึ่งไม่มีการเลิกจ้างโจทก์นับแต่วันเลิกจ้างถึงวันรับกลับเข้าทำงาน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 55,800 บาท ค่าชดเชย 334,710.50 บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 42,916.12 บาท รวมเป็นเงิน 433,427 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง ให้จำเลยที่ 1 และที่ 5 ร่วมกันจ่ายค่าเสียหายที่ได้กระทำละเมิด 5,221,484 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ให้การขอให้ยกฟ้อง
วันที่ 12 กรกฎาคม 2556 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย เวลา 9.45 นาฬิกา โจทก์ ทนายโจทก์มาศาล จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ศาลแรงงานภาค 2 มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและให้ดำเนินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 เวลา 9 นาฬิกา ซึ่งต่อมาเลื่อนไปให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 10 กันยายน 2556 วันที่ 18 กรกฎาคม 2556 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ว่า มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา อันเป็นเหตุให้มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้
โจทก์ยื่นคำคัดค้านคำร้องขอพิจารณาใหม่ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 540,510.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินค่าชดเชย 334,710.50 บาท และอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 55,800 บาท นับแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ 10 สิงหาคม 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษาต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ว่าการขาดนัดของจำเลยที่ 1 เป็นไปด้วยความจำเป็นและมีเหตุอันสมควรให้เพิกถอนคำสั่งขาดนัดหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าทนายความของจำเลยที่ 1 มีเหตุขัดข้องเดินทางมาศาลไม่ทันกำหนดเนื่องจากระหว่างเดินทางมาศาลรถยนต์ของทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 สายพานระบบไฟฟ้าขาดเครื่องยนต์ไม่ทำงานซึ่งแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ศาลทราบแล้วอันเป็นเหตุสมควรถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 จงใจขาดนัดพิจารณานั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงยุติตามคำเบิกความของจำเลยที่ 5 และทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 โดยโจทก์ไม่นำสืบโต้แย้งว่า ช่วงเช้าก่อนเวลานัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยในวันที่ 12 กรกฎาคม 2556 ระหว่างเดินทางปรากฏว่ารถยนต์ที่ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ขับมาศาลมีเหตุขัดข้องเครื่องยนต์ไม่ทำงานเนื่องจากสายพานระบบไฟฟ้าขาด เป็นเหตุให้ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ไม่สามารถเดินทางมาศาลทันกำหนดนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงยุติตามคำร้องขอพิจารณาใหม่และคำคัดค้านคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ว่าทนายความจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 โทรศัพท์แจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่อาจเดินทางมาศาลทันกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศาล โจทก์และทนายโจทก์ทราบด้วย ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่โจทก์และทนายโจทก์กำลังเตรียมสืบพยานอยู่ในห้องพิจารณา เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีความจำเป็นที่ไม่อาจมาศาลได้ตามกำหนดเป็นการสมควรให้เพิกถอนคำสั่งศาลแรงงานภาค 2 ที่สั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดอันมีผลให้ศาลแรงงานภาค 2 ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำหลังจากที่มีคำสั่งนั้นใหม่เสมือนหนึ่งมิเคยมีกระบวนพิจารณาเช่นว่านั้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 41 ข้อโต้แย้งตามคำพิพากษาของศาลแรงงานภาค 2 จึงหมดไป ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 อีกต่อไป
พิพากษากลับเป็นว่าให้เพิกถอนคำสั่งศาลแรงงานภาค 2 ที่สั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัด ให้ศาลแรงงานภาค 2 ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่การสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วมีคำพิพากษาตามรูปคดีใหม่