คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10330-10331/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อผู้ร้องไม่ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ซึ่งมีฐานะเสมือนเป็นโจทก์ฟ้องแย้งมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดในส่วนของฟ้องแย้งภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้ผู้ร้องยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งได้สิ้นสุดลง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 199 ฉ ถ้าไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ตามมาตรา 198 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ อย่างไรก็ดี แม้บทบัญญัติดังกล่าวจะใช้คำว่า “ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ” เพื่อเป็นมาตรการมิให้บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดก็ตาม แต่ก็มิใช่บทบังคับศาลที่จะต้องจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความเสมอไป ศาลมีอำนาจที่จะให้ดุลพินิจที่จะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้โดยพิจารณาตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นรายๆ ไป สำหรับคดีนี้ ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟ้องแย้งผู้ร้องมาในคำคัดค้านในเรื่องเกี่ยวกับคำร้องขอเดิมของผู้ร้อง แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่ายังมีความประสงค์ที่จะดำเนินคดี นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปว่า ผู้ร้องได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการรับฟ้องแย้งของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่าไม่ถูกต้อง อันอาจเป็นเหตุทำให้ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เห็นว่าต้องรอคำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องดังกล่าวก่อน พฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ถือได้ว่ามีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นไม่จำหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้งของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ออกเสียจากสารบบความ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีจึงไม่ใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบแต่อย่างใด ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

ย่อยาว

ผู้ร้องขอให้ยกคำร้องขอ และให้ผู้ร้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตลอดจนขนย้ายสิ่งของต่างๆ ของผู้ร้องออกไปจากที่ดินของผู้คัดค้านที่ 3 ห้ามผู้ร้องและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของผู้คัดค้านที่ 3 อีกต่อไป กับให้ผู้ร้องชำระค่าเสียหายแก่ผู้คัดค้านที่ 3 เป็นเงินเดือนละ 10,000 บาท ตั้งแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าผู้ร้องและบริวารจะออกไปจากที่ดินของผู้คัดค้านที่ 3
ผู้ร้องขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องขอถอนคำร้องขอในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านที่ 3 และผู้คัดค้านที่ 3 ขอถอนคำคัดค้านและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นอนุญาต จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 3 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอของผู้ร้อง กับให้ผู้ร้องและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 5238 ตำบลแพรกษา (แพรกตาสา) อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ คำขออื่นของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 นอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำให้การแก้ฟ้องแย้งและไม่จำหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้งของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ออกเสียจากสารบบความกับอุทธรณ์คำพิพากษาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนคงให้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียง 6,000 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนคงให้เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 6,000 บาท ค่าธรรมเนียมนอกจากนี้ยกเว้นให้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ผู้ร้องขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง และผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดในส่วนฟ้องแย้งภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 199 ฉ โดยศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้งของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ออกเสียจากสารบบความเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อผู้ร้องไม่ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ซึ่งมีฐานะเสมือนเป็นโจทก์ฟ้องแย้งมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดในส่วนของฟ้องแย้งภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้ผู้ร้องยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งได้สิ้นสุดลง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 199 ฉ ถ้าไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ตามมาตรา 198 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ อย่างไรก็ดี แม้บทบัญญัติดังกล่าวจะใช้คำว่า “ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ” เพื่อเป็นมาตรการมิให้บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดก็ตาม แต่ก็มิใช่บทบังคับศาลที่จะต้องจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความเสมอไป ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้โดยพิจารณาตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นรายๆ ไป สำหรับคดีนี้ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟ้องแย้งผู้ร้องมาในคำคัดค้านในเรื่องเกี่ยวกับคำร้องขอเดิมของผู้ร้อง แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่ายังมีความประสงค์ที่จะดำเนินคดี นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปว่า ผู้ร้องได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการรับฟ้องแย้งของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่าไม่ถูกต้อง อันอาจเป็นเหตุทำให้ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เห็นว่าต้องรอคำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องดังกล่าวก่อนพฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ถือได้ว่ามีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นไม่จำหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้งของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ออกเสียจากสารบบความ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีจึงไม่ใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบแต่อย่างใด ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share