แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งในคำฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้ยกฟ้อง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนมูลฟ้องหรือพิพากษาตามรูปคดีต่อไปเช่นนี้ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาเพราะก่อนที่ศาลประทับฟ้อง จำเลยยังไม่เข้ามาสู่ฐานะเป็นคู่ความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีอาญาแดงที่ ๑๗๔/๒๕๐๐ เป็นเหตุให้โจทก์ถูกศาลพิพากษาจำคุกให้คดีนั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องว่า ได้เรียกสำนวนคดีแดงที่ ๑๗๔/๒๕๐๐ มาประกอบ ปรากฏว่าจำเลย (โจทก์ในคดีถูกพิพากษาลงโทษจำคุก ๓ เดือน ฐานลักน้ำมันก๊าดของนายดวง คือ จำเลยที่ ๑ และ นายตา จำเลยที่ ๒ มาเป็นพยานโจทก์ในคดีนั้น ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจะฎีกาต่อไปไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๐ ดังนั้น ที่โจทก์หวนกลับมาฟ้องจำเลยฐานเบิกความเท็จเป็นคดีใหม่ จึงมิใช่อยู่ในฐานะผู้เสียหาย และเป็นเรื่องที่จะอ้างความเสียหายทางกฎหมายไม่ได้ เพราะโจทก์เป็นผู้กระทำผิดและน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจหักล้างพยานของอีกฝ่ายได้ในคดีนั้น จะมาอ้างว่าพยานอีกฝ่ายเบิกความเท็จได้อย่างไร โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยเบิกความนั้น แม้คดีก่อนศาลพิพากษาว่า โจทก์กระทำผิดและคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม จึงให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนมูลฟ้องหรือพิพากษาตามรูปคดีต่อไป
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์มิใช่อยู่ในฐานะผู้เสียหายที่จะฟ้องจำเลยได้เพราะในคดีอาญาแดงที่ ๑๗๔/๒๕๐๐ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด ดังนั้น คำเบิกความของจำเลยทั้งสองซึ่งเบิกความเป็นพยานในคดีนั้น ย่อมเป็นเท็จไปไม่ได้
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยโดยเห็นว่า จำเลยมีสิทธิฎีกาได้ อ้างว่าเทียบได้ตามนัยฎีกาที่ ๑๒๗๒/๒๔๙๘
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ราษฎรเป็นโจทก์ ซึ่งจะต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องก่อนประทับฟ้องและ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๕ บัญญัติว่า ก่อนที่ศาลประทับฟ้อง มิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในอยู่ในฐานะเช่นนั้น ดังนี้ จำเลยจึงยังมิเข้ามาสู่ฐานะคู่ความ ย่อมไม่มีสิทธิฎีกา
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย