คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4805-4806/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในขณะที่จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนเป็นประกันเงินกู้ไว้แก่โจทก์ ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทยังมิได้แบ่งแยกการครอบครองที่ดินกันเป็นส่วนสัด กรณีต้องถือว่าผู้ร้องทั้งสอง จำเลย และผู้ถือกรรมสิทธ์รวมคนอื่นได้ร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาททุกส่วนทั้งแปลง แม้ภายหลังผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมจะได้ตกลงแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทกันเป็นส่วนสัดแล้วตาม ก็เป็นเพียงข้อตกลงภายในระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมด้วยกันเอง โดยโจทก์มิได้ตกลงด้วยจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก การจำนองที่ดินพิพาทจึงยังคงครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นหมดทุกส่วนด้วยกันอยู่นั่นเองตาม ป.พ.พ. มาตรา 717 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิยึดที่ดินพิพาททั้งแปลงออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ผู้ร้องทั้งสองไม่มีสิทธิขอกันที่ดินเฉพาะส่วนของตนออกจากที่ดินพิพาทก่อนขายทอดตลาด

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกผู้ร้องสำนวนแรกว่า ผู้ร้องที่ 1 และเรียกผู้ร้องสำนวนหลังว่า ผู้ร้องที่ 2
คีดสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 6,164,046.98 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ของต้นเงิน 3,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3034 ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ ออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งสองสำนวนยื่นคำร้องขอให้กันส่วนที่ดินของผู้ร้องทั้งสองกับที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา ที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมทุกคนตกกันให้ทำเป็นถนนออกจากการขายทอดตลาด และกันส่วนเงินที่ได้จากการขายตลาดที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 23 ตารางวา ดังกล่าว ตามส่วนของผู้ร้องทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองสำนวนยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
จำเลยสำนวนแรกไม่ยื่นคำคัดค้าน
จำเลยสำนวนหลังยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณาผู้ร้องที่ 2 ถึงแก่ความตาย นางทรงกลดทายาทของผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กันที่ดินส่วนของผู้ร้องทั้งสองตามสิทธิออกจากที่ดินพิพาทก่อนขายทอดตลาด ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ผู้ร้องทั้งสอง จำเลยนายเตือนตา นายมนัส นาวาโทชาย และนางสาวกัลยาณี เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3034 ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาวันที่ 29 กันยายน 2535 จำเลย จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนประกันหนี้เงินกู้ไว้แก่โจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพิพาทั้งแปลงออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษามีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิขอกันส่วนที่ดินเฉพาะส่วนของตนออกจากที่ดินพิพาทก่อนขายทอดตลาดหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าในขณะที่จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่โจทก์ ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทยังมิได้แบ่งแยกการครอบครองที่ดินกันเป็นส่วนสัด โจทก์จึงมีสิทธิยึดที่ดินพิพาททั้งแปลงออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ได้ เห็นว่า ในข้อนี้ผู้ร้องทั้งสองอ้างว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทได้แบ่งแยกการครอบครองที่ดินกันเป็นส่วนสัดแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิยึดที่ดินพิพาทแปลงออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ ผู้ร้องทั้งสองจึงต้องมีภาระการพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทได้ตกลงแบ่งแยกการครอบครองที่ดินกันเป็นส่วนสัดก่อนที่โจทก์จะรับจำนองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลย แต่ข้อเท็จจริงกลับได้ความตามคำเบิกความของนางวัชรี ผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องทั้งสองและนายวุฒิพงษ์ พยานผู้ร้องทั้งสองซึ่งรับราชการในตำแหน่งนักวิชาการที่ดิน 6ว. สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการสาขาบางพลี ว่า ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทได้ร่วมกันยื่นคำขอเพื่อรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2538 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยแล้วเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2535 ถึง 3 ปีเศษ และในครั้งแรกเอกสารของผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมบางคนไม่ครบจึงยังไม่สามารถแบ่งแยกได้ต่อมาทำการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมใหม่ โดยมีข้อตกลงให้แบ่งที่ดินออกเป็นทางสาธารณประโยชน์ 1 แปลง เป็นคลองชลประทาน 1 แปลง และแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม 7 แปลง โดยมีเนื้อที่และตำแหน่งตามบันทึกถ้อยคำ ผู้ร้องที่ 1 จึงมีหนังสือแจ้งว่าให้ผู้ร้องที่ 1 ดำเนินการแจ้งไปยังผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมเพื่อทำการแบ่งแยกต่อไป ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2540 เจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมและจัดทำโฉนดที่ดินแล้ว โดยผู้ร้องทั้งสองได้รับแบ่งคนละ 2 ไร่ 3 งาน 54 ตารางวา แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม จะเห็นได้ว่า การนำสืบพยานหลักฐานของผู้ร้องทั้งสองไม่ว่าจะเป็นการนำสืบถึงเรื่องการยื่นคำขอเพื่อรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทกันเป็นส่วนสัดระหว่างผู้ถูกกรรมสิทธิ์รวม ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่โจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยแล้วทั้งสิ้นโดยผู้ร้องมิได้นำสืบให้เห็นถึงข้อตกลงระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมเกี่ยวกับการแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทกันเป็นส่วนสัดก่อนที่โจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลย ส่วนหนังสือสัญญาจำนองที่ดินพิพาท แม้จะมีข้อความระบุว่าจำเลยตกลงจำนองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนกรรมสิทธิ์ของตนแก่โจทก์ก็ตาม แต่ก็มิได้ระบุว่ามีการแบ่งแยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยกับผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นว่ามีอาณาเขตอย่างไร อันจะพอถือได้ว่ามีการตกลงแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทกันเป็นส่วนสัดแล้ว ก่อนที่โจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ในขณะที่จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนเป็นประกันเงินกู้ไว้แก่โจทก์ ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทยังมิได้แบ่งแยกการครอบครองที่ดินกันเป็นส่วนสัดกรณีต้องถือว่าผู้ร้องทั้งสอง จำเลย และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นได้ร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาททุกส่วนทั้งแปลง แม้ภายหลังผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมจะได้ตกลงแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทกันเป็นส่วนสัดแล้วก็ตาม ก็เป็นเพียงข้อตกลงภายในระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมด้วยกันเอง โดยโจทก์มิได้ตกลงด้วย จึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก การจำนองที่ดินพิพาทจึงยังคงครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นหมดทุกส่วนด้วยกันอยู่นั่นเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 717 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิยึดที่ดินพิพาททั้งแปลงออกขาดทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ผู้ร้องทั้งสองไม่มีสิทธิขอกันที่ดินเฉพาะส่วนของตนออกจากที่ดินพิพาทก่อนขายทอดตลาดที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share