คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5394-5404/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินค่าคอมมิชชั่นหรือค่าเที่ยวที่จำเลยจ่ายให้โจทก์แต่ละคนซึ่งเป็นพนักงานขับรถและพนักงานยกของที่ไปกับรถของจำเลยเมื่อทำตามหน้าที่ของตน โดยจำเลยกำหนดอัตราไว้แน่นอนว่าเที่ยวหนึ่งจะจ่ายให้เท่าใด สามารถคำนวณได้ตามจำนวนเที่ยวที่ทำได้ในเวลาทำงานตามปกติของวันทำงาน มีลักษณะชี้ชัดว่าจำเลยมุ่งหมายจ่ายให้โจทก์เพื่อตอบแทนการทำงานมิใช่จงใจจ่ายเพื่อจูงใจให้โจทก์ขยันทำงาน เงินค่าคอมมิชชั่นหรือค่าเที่ยวจึงเป็นค่าจ้าง ตามความหมายของ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5

ย่อยาว

คดีทั้งสิบเอ็ดสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๑ ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสิบเอ็ดสำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างที่ขาดเป็นเงิน ๑๒,๒๔๐ บาท ๑๓,๖๘๐ บาท ๔๑,๐๘๒ บาท ๙,๒๖๔ บาท ๑๕,๐๑๕ บาท ๑๗,๖๑๕ บาท ๑๗,๖๑๕ บาท ๑๗,๘๕๖ บาท ๒๙,๐๙๕ ๑๑,๕๐๕ บาท ๑๒,๔๘๐ บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๑ และให้จำเลยจ่ายค่าจ้างนับถัดจากวันฟ้องต่อไปไม่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด
จำเลยทั้งสิบเอ็ดสำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ยังขาดอยู่ให้แก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๑,๒๒๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑,๒๙๐ บาท โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๑๐,๒๒๒.๓๓ บาท โจทก์ที่ ๔ เป็นเงิน ๑,๒๗๐ บาท โจทก์ที่ ๕ เป็นเงิน ๕,๗๓๕ บาท โจทก์ที่ ๖ เป็นเงิน ๗,๓๘๐ บาท โจทก์ที่ ๗ เป็นเงิน ๓,๒๙๐ บาท โจทก์ที่ ๙ เป็นเงิน ๑๐,๒๓๒ บาท โจทก์ที่ ๑๐ เป็นเงิน ๓,๙๒๐ บาท และโจทก์ที่ ๑๑ เป็นเงิน ๒,๖๒๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของเงินที่ต้องจ่ายแก่โจทก์ แต่ละคนนับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๕) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสียและให้ยกฟ้องของโจทก์ที่ ๘
โจทก์ทั้งสิบเอ็ดสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ บัญญัติความหมายของคำว่า “ค่าจ้าง” ไว้ว่า คือเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้าง สำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคำนวณตาม ผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน เมื่อเงินค่าคอมมิชชั่นหรือค่าเที่ยว จำเลยได้จ่ายให้โจทก์ทุกคนเมื่อโจทก์ทุกคนทำตามหน้าที่ของตนซึ่งจำเลยกำหนดอัตราไว้แน่นอนว่าเที่ยวหนึ่งจะจ่ายให้เท่าใด สามารถคำนวณได้ตามจำนวนเที่ยวที่ทำได้ในเวลาทำงานตามปกติของวันทำงานอันมีลักษณะชี้ชัดว่า จำเลยมุ่งหมายจ่ายให้โจทก์ทุกคนเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการทำงาน มิใช่จงใจจ่ายไปเพื่อจูงใจให้โจทก์ขยันทำงาน ฉะนั้นเงินค่าคอมมิชชั่นหรือค่าเที่ยวจึงเป็น “ค่าจ้าง” ตามความหมายของ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
พิพากษายืน

Share