คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1632-1633/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พฤติการณ์ที่ถือว่าจำเลยจงใจประวิงหน่วงเหนี่ยวให้คดีชักช้าโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ซึ่งศาลมีอำนาจงดสืบพยานจำเลยและชี้ขาดคดีไป โดยไม่ต้องสืบพยานจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้ขับไล่ให้รื้อรั้ว และห้ามเกี่ยวข้องกับให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้ขอจับจองและทำประโยชน์มี น.ส.๓ แล้ว และจำเลยที่ ๒, ๓, ๔ เช่าจากจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อน เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้วถึงวันนัดสืบพยานจำเลยนัดสุดท้าย จำเลยที่ ๑ ซึ่งอ้างตัวเองเป็นพยานและพยานอื่นไม่มาตามนัด ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นพฤติการณ์ประวิงคดีไม่อนุญาตให้เลื่อน ถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ แล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทและมีสิทธิดีกว่าจำเลย จำเลยร่วมกันบุกรุกที่พิพาทเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่รวมทั้งบริวารออกไปจากที่พิพาท ห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยที่ ๑ รื้อรั้วซึ่งสร้างรุกล้ำที่พิพาท และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๖,๐๐๐ บาท รวมทั้งค่าเสียหายอีกปีละ๔,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไป
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาประวิงคดีศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยยังไม่ถูกต้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
กระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ ๑ กระทำต่อศาลปรากฏว่า ในวันสืบพยานโจทก์นัดที่สองต่อจากนัดก่อนในวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๑๔ โจทก์สืบพยานหมดโดยไม่ขอสืบต่อไป จำเลยขอสืบพยานแก้ตัวจำเลยที่ ๑ได้ไปศาลในวันนั้น แถลงขอเลื่อนไปสืบพยานจำเลยวันที่ ๓๐ เมษายน๒๕๑๔ อ้างว่าจะจัดงานศพมารดาและงานอื่น ๆ ศาลชั้นต้นเห็นว่าขอนัดนานไป คงให้เลื่อนไปสืบในวันที่ ๘ และวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๑๔
ก่อนถึงวันนัด จำเลยที่ ๑ ได้ขอหมายเรียกพยานบุคคลและเรียกเอกสาร ครั้นถึงวันนัดวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๑๔ ทนายจำเลยที่ ๑ได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดี อ้างว่าจำเลยที่ ๑ป่วยมาศาลไม่ได้ มีใบรับรองของแพทย์สถานตรวจโรคปอดขอนแก่นว่าจำเลยที่ ๑ ป่วยเยื่อหุ้มปอดอักเสบ จะต้องรักษาตัว ๑๕ วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบในวันที่ ๒๖, ๒๘, ๓๐ เมษายน ๒๕๑๔ รวม ๓ วัน
ก่อนวันนัด จำเลยที่ ๑ ขอหมายเรียกพยานบุคคล ถึงวันนัด วันที่ ๒๖เมษายน ๒๕๑๔ ทนายจำเลยที่ ๑ มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีก อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ป่วย และไม่ได้ส่งหมายเรียกให้พยานมีใบรับรองของแพทย์คนเดิมว่า จำเลยที่ ๑ ป่วยเยื่อหุ้มปอดอักเสบจะต้องรักษาตัวอีก ๑๕ วัน ทนายจำเลยที่ ๑ ไปศาลในวันนัด ศาลชั้นต้นตั้งข้อสังเกตว่า จำเลยที่ ๑ พยายามจะประวิงคดี กำชับไม่ให้ขอเลื่อนอีกในนัดหน้า แล้วอนุญาตให้เลื่อนไปสืบในวันที่ ๒๔, ๒๕, ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๑๔
ในนัดหลังนี้ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขอหมายเรียกพยาน ถึงวันนัดวันที่ ๒๔พฤษภาคม ๒๕๑๔ เวลา ๙.๔๐ นาฬิกา ศาลออกนั่งพิจารณาจำเลยที่ ๑ และพยานจำเลยไม่มาศาล ทนายจำเลยที่ ๑ แถลงว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มาศาลไม่ทราบเหตุขัดข้อง ในระยะนี้จำเลยที่ ๑ สุขภาพไม่ดีต้องเลื่อนคดีเพราะป่วยมา ๒ ครั้งแล้ว เข้าใจว่านัดนี้จำเลยที่ ๑ อาจจะป่วย จึงขอเลื่อนไปโจทก์แถลงคัดค้าน ขอให้ศาลสั่งงดสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาประวิงคดีให้ล่าช้าและไม่เอาใจใส่นำพยานมาสืบตามนัดถือว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีพยานมาสืบ คดีเป็นอันเสร็จการพิจารณา
ต่อมาวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๑๔ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอสืบพยานต่อไป อ้างเหตุต่าง ๆ คือ จำเลยที่ ๑ ป่วย ได้ไปรักษาตัวที่จังหวัดพระนครในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๑๔ มีใบรับรองแพทย์ประจำร้านแพทย์ปริญญาตั้งอยู่ปากซอยจารุรัตน์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ พระนคร ว่าจำเลยที่ ๑ป่วยเป็นโรคโลหิตเลี้ยงสมองไม่พอ และโรคหมดประจำเดือน จำเลยที่ ๑ไม่ทราบวันนัดของศาล และจำเลยที่ ๑ ได้เดินทางมาถึงศาลในวันนัดครั้งสุดท้ายเวลาบ่ายแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องเสีย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่จำเลยที่ ๑ ขอเลื่อนการพิจารณาสืบพยานฝ่ายตนมาเป็นลำดับนั้น เมื่อศาลอนุญาตให้เลื่อนไปแล้ว ในนัดต่อมาก็ไม่ได้สืบสักนัดเดียว เฉพาะนัดหลังสุดนี้ ทั้ง ๆ ที่ศาลได้สั่งกำชับไว้ในนัดก่อนแล้ว ตัวจำเลยที่ ๑ ก็ไม่มาศาล ทั้งพยานอื่นก็ไม่ได้นำมาสืบ โดยทนายจำเลยแถลงว่าไม่ทราบเหตุขัดข้องที่จำเลยที่ ๑ไม่มาศาลเข้าใจเอาเองว่าจำเลยที่ ๑ อาจจะป่วย ซึ่งไม่มีหลักฐานแสดงว่าจำเลยที่ ๑ ป่วยจริง เพียงแต่คำแถลงของทนายจำเลยกล่าวอ้างเข้ามาลอย ๆ เพื่อจะขอเลื่อนคดีต่อไป โดยไม่สังวรต่อการที่ศาลเคยกำชับไว้เช่นนี้ จะถือว่ามีเหตุผลอันสมควรในการขอเลื่อนคดีไม่ได้ที่ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ยังป่วยเป็นโรคปอดอยู่ โดยไม่มีเจตนาประวิงคดีนั้นตามใบรับรองแพทย์ ครั้งก่อนๆไม่ได้ลงความเห็นว่าเป็นโรคปอดชนิดเรื้อรังรักษาไม่หาย ตรงข้ามคงลงความเห็นแต่ละครั้งเพียงว่า ให้หยุดพักเป็นคราว ๆ คราวละ ๑๕ วันเท่านั้น แสดงว่าน่าจะไม่ใช่อาการป่วยในขั้นรุนแรงถึงกับต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เมื่ออาการทุเลาแล้วย่อมจะไปทำธุรกิจใด ๆ ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนัดครั้งสุดท้ายจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ป่วยเป็นโรคปอดแล้ว กลับแสดงว่าป่วยเป็นโรคอย่างอื่นถึงกระนั้นก็ยังเดินทางไปศาลได้ แต่ไปถึงเอาตอนบ่าย ซึ่งล่วงเลยเวลานัดของศาลไปแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ป่วยจริงดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ เพราะถ้าจำเลยที่ ๑ ป่วยจริงก็ต้องแสดงใบรับรองแพทย์ต่อศาลก่อนที่ทนายจำเลยจะขอเลื่อนคดีในนัดสุดท้ายแล้ว ทั้งทนายจำเลยก็มิได้เอาใจใส่เตรียมพยานอื่นไปสืบโดยมิได้ขอหมายเรียกพยานไว้ จำเลยที่ ๑จะมาอ้างในภายหลังว่าไม่มีเจตนาประวิงคดีหาได้ไม่ พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าว ส่อให้เห็นชัดว่าเป็นการจงใจประวิงหน่วงเหนี่ยวให้คดีชักช้า โดยปราศจากเหตุผลอันสมควรซึ่งเป็นการดำเนินคดีอันผิดความประสงค์ของการพิจารณาคดีที่ไม่ต้องการให้ศาลเลื่อนอย่างพร่ำเพรื่อดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๗ บัญญัติวางหลักปฏิบัติไว้ จึงชอบที่ศาลจะงดสืบพยานจำเลยและชี้ขาดคดีไปโดยไม่ต้องสืบพยานของจำเลยที่ ๑ ได้ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยที่ ๑ เสียนั้นชอบแล้ว คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้ชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทที่จำเลยอุทธรณ์ไว้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ ๑ ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่

Share